วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553


เทคนิควิธีสอนคอมพิวเตอร์
"เรียนรู้ข้ามโลก" ฉบับนี้ จะขอโฟกัสไปที่ "ก้าวทันเทคโนโลยี" ก็แล้วกัน เพราะดูเหมือนว่ารัฐบาลยุคดาวเทียมในปัจจุบันนั้นแสดงออกว่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้จากนโยบายด้านการศึกษาของพรรคไทยรักไทยนับตั้งแต่ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งเมื่อ 2 ปีก่อนประกาศเปรี้ยงว่า เด็กไทยทุกคน (เฉพาะระดับมัธยม) ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็น แต่จนบัดนี้เด็กต่างจังหวัดจำนวนมากยังไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสคอมพิวเตอร์

เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การเรียนการสอน คอมพิวเตอร์ ในโรงเรียนบ้านเราไม่ก้าวหน้าถึงไหน ก็เนื่องมาจากการขาดแคลนครู ตลอดจนเทคนิควิธีการสอนที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพ "เรียนรู้ข้ามโลก" จึงขอนำประสบการณ์การเรียนการสอนคอมพิวเตอร์เบื้องต้นให้แก่เด็กนักเรียนระดับชั้นต่างๆ ในอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มานำเสนอ เพื่อเป็นแนวทางให้แก่ครูไทยในการนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในห้องเรียนและสังคมบ้านเรา

เจนนิเฟอร์ แวคเนอร์ ครูผู้สอนระดับชั้นประถมรายหนึ่งเล่าประสบการณ์ของเธอว่า ปกติเธอเป็นครูที่ชอบตกแต่งห้องเรียนใหม่ทุกๆ เปิดเทอม ล่าสุดที่ผ่านมาเจนนิเฟอร์ลงทุนถอดชิ้นส่วนของคอมพิวเตอร์เก่าๆ ที่เลิกใช้แล้ว และนำชิ้นส่วนเหล่านั้นมาตกแต่งไว้ตามผนังห้องเรียน พร้อมกับเขียนคำบรรยายชื่อเรียกชิ้นส่วนแต่ละชิ้นติดไว้ด้วย

"การทำเช่นนี้จะช่วยให้เด็กมองเห็นชิ้นส่วนต่างๆ ภายในคอมพิวเตอร์อย่างชัดเจนและน่าสนใจ" เจนนิเฟอร์ กล่าวและว่า สัปดาห์แรกของการเปิดเทอมเธอจะสอนเด็กๆ ให้รู้จักกับส่วนต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ อาทิ เมาส์ คีย์บอร์ด มอนิเตอร์ และอื่นๆ ที่จำเป็นต้องรู้เพื่อประโยชน์ในการใช้งาน รวมทั้งกฎเกณฑ์ในการใช้คอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นจะให้เด็กเล่นเกมบิงโก โดยครูอาจทำแผ่นการ์ดจากโปรแกรม Microsoft Excel หรือให้เด็กๆ ช่วยกันตัดแผ่นการ์ดเป็นรูปทรงต่างๆ ของชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เช่น เมาส์ แผ่นซีดี แผ่นดิสก์ เป็นต้น

"การเล่นเกมนี้จะทำให้เด็กเล็กๆ สามารถจดจำชื่อชิ้นส่วนเหล่านี้ได้ เพราะพวกเขาสนุกขณะที่เรียนรู้" เจนนิเฟอร์ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับ ซิธ นิพ นั้น เริ่มต้นเทอมใหม่โดยการให้เด็กตอบแบบสำรวจว่าพวกเขารู้จักคอมพิวเตอร์และความปลอดภัยในการใช้คอมพิวเตอร์มากน้อยเพียงใดด้วยคำถามง่ายๆ เช่น นักเรียนมีคอมพิวเตอร์ที่บ้านหรือไม่ มีคอมพิวเตอร์รุ่นไหน มีกี่เครื่อง คอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ในบริเวณใด นักเรียนรู้จักวิธีดูแลรักษาสายไฟหรือไม่ ฯลฯ

แบบสำรวจดังกล่าว ประกอบด้วย คำถามปรนัย กาผิดกาถูก และข้อเขียน เมื่อเด็กทำแบบสำรวจเสร็จแล้ว ครูจะประมวลคำตอบที่ได้อย่างหยาบๆ เพื่อดูความรู้พื้นฐานของเด็ก และตอบคำถามเด็กที่ยังไม่เข้าใจแบบสำรวจดังกล่าว ระหว่างที่มีการพูดคุยกัน ซิธจะอดแทรกรายละเอียดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์อย่างปลอดภัย กฎเกณฑ์ในการใช้งาน ตลอดจนขั้นตอนการทำงานต่างๆ ของเครื่อง รวมทั้งพูดคุยถึงเทคโนโลยีที่ก้าวเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์

"เพียงวันแรกฉันก็มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเด็กที่ได้จากการทำแบบสำรวจและการพูดคุย" ซิธ กล่าวและเล่าต่อว่า เธอได้ให้การบ้านเด็กเป็นแผ่นแผนภูมิให้เด็กเขียนเติมลงไป สิ่งที่เด็กจะต้องทำคือ ให้สำรวจว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านมีชิ้นไหนบ้างที่มีส่วนประกอบของชิพคอมพิวเตอร์ และชิ้นไหนที่ไม่มี ในวันรุ่งขึ้นครูจะนำแผนภูมิเหล่านี้มาดูและพูดคุยกันในชั้นเรียน

สเตซี่ ไวแอท เล่าประสบการณ์ของเธอว่า หนึ่งในกิจกรรมที่เธอมักทำเป็นประจำในช่วงต้นเทอม คือ นักเรียนต้องสามารถบอกชื่อส่วนประกอบต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ได้ถูกต้อง

สเตซี่ บอกว่า โดยมากเด็กๆ มักจะบอกชื่อส่วนประกอบภายนอกได้ถูกต้อง แต่จะสับสนกับชิ้นส่วนข้างในของคอมพิวเตอร์ เธอจึงแบ่งนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะได้รับกระดาษแผ่นใหญ่พร้อมปากกาสี เด็กๆ จะต้องระดมความคิดภายในกลุ่มว่าภายในคอมพิวเตอร์มีส่วนประกอบใดบ้างและมีการทำงานอย่างไร จากนั้นให้แต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้กัน

"คุณจะทึ่งกับภาพวาดบางภาพและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก" สเตซี่ กล่าว "เด็กกลุ่มหนึ่งวาดภาพเมาส์ที่มีวงล้ออยู่ภายใน เมื่อเด็กทำงานของพวกเขาเสร็จ ฉันก็ถอดชิ้นส่วนของคอมพิวเตอร์เก่าให้เด็กๆ ดูข้างใน พวกเขาชอบวิธีเรียนแบบนี้มาก เพราะทำให้ความลึกลับในการทำงานของคอมพิวเตอร์หมดไป นอกจากนี้ฉันยังแกะส่วนที่ทำงานของแผ่นดิสก์ (floppy disk) ออกมาให้เด็กดูด้วย พร้อมกับแลกเปลี่ยนความเห็นกับพวกเขาว่าเหตุใดจึงเรียกว่า"floppy" เด็กๆ ชอบเอามือไปจับส่วนที่แผ่นดิสก์ทำงาน และตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงห้ามเด็กไม่ให้เล่นกับวัสดุที่ทำด้วยโลหะ"

เบธ เกร์เกอร์ สอนเรื่องเทคโนโลยีให้กับเด็กชั้นอนุบาลถึงประถม 4 เธอใช้หนังสือที่เป็น CD - ROM เรื่อง Arthur’s computer Adventure ของ มาร์ค บราวน์ สอนเด็กๆ ในเรื่องของข้อควรระวังต่างๆ ในการใช้คอมพิวเตอร์ ระหว่างการสอน เธอใช้เรื่องเล่าแบบ interactive รวมทั้งใช้หนังสือจากห้องสมุด นอกจากนี้ เบธยังมีกล่องใส่ชิ้นส่วนของคอมพิวเตอร์เก่าที่ถอดออกแล้ว ที่บางครั้งเธอนำไปจัดเป็นนิทรรศการ หรือนำไปให้เด็กๆ ได้สัมผัสเล่น

"ฉันมักจะนำชิ้นส่วนเหล่านี้ไปให้นักเรียนชั้น ป.2 - ป.4 ดูว่าภายในคอมพิวเตอร์ทั้งหมดหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันแยกชิ้นส่วนของคอมพิวเตอร์ออกจากกัน และส่งให้เด็กๆ ดู พร้อมกับอธิบายว่า ชิ้นส่วนเหล่านั้น เช่น ฮาร์ดไดรฟ์ พัดลม หน่วยความจำ แบตเตอรี่ กระแสไฟฟ้า และอื่นๆ ทำงานอย่างไร จากนั้น ฉันจะประกอบส่วนต่างๆ เข้าไปเหมือนเดิม เด็กๆ ตื่นเต้นกับการเรียนแบบนี้มาก" เบธ กล่าว

แซนดร้า เบาเออร์ ครูอนุบาลเป็นอีกคนหนึ่งที่สอนเด็กๆ ให้รู้จักและคุ้นเคยกับเทคโนโลยีสมัยใหม่

"ฉันจะเริ่มต้นการสอนโดยอ่านเรื่อง Surf Sammy’s New Computer ของ คริสติน่า เบอร์คาร์ท ให้เด็กๆ ฟัง เป็นเรื่องตลกที่ตัวเอกเป็นจระเข้ชื่อแซมมี่ได้รับของขวัญวันเกิดเป็นคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เริ่มเข้ามาในชีวิตของแซมมี่ มันอธิบายชิ้นส่วนต่างๆ ตลอดจนวิธีการดูแลรักษาให้แซมมี่ฟัง หลังจากอ่านเรื่องจบ ฉันจะพาเด็กๆ ไปดูชิ้นส่วนต่างๆ ของคอมพิวเตอร์จริง บอกชื่อแต่ละชิ้นส่วนและให้เด็กๆ พูดตาม เด็กเล็กๆ จะสนุกกับการสอนแบบนี้ และยังทำให้เด็กรู้สึกสบายๆ ไม่เครียดกับการเปิดเทอมใหม่ด้วย" ครูแซนดร้า กล่าว

"ในช่วงแรกของการเปิดเทอม ครูจำนวนไม่น้อยมักจะขอให้นักเรียนช่วยกันจัดตั้งระเบียบและกฎเกณฑ์ที่จะใช้ร่วมกันในห้องเรียน หรือไม่ก็สิ่งที่พวกเขาต้องการเรียนรู้ในเทอมนั้น"

ไมค์ จอห์นสัน กล่าว "หัวข้อเหล่านี้เหมาะอย่างยิ่งในการระดมสมอง โรงเรียนของเราเลือกใช้โปรแกรมที่เรียกว่า Inspiration Software ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จัดทำขึ้นมาเฉพาะสำหรับการรวบรวมและจัดระบบความคิด"

ไมค์ ยังเล่าต่อว่า ภายในแค่เวลา 15 นาที นักเรียนจะสามารถสร้างแผนภูมิขนาดเท่ากับแผ่นโปสเตอร์ขึ้นมา และใส่ความคิดต่างๆ ที่ช่วยกันระดมออกมาลงไป โปสเตอร์ชิ้นนี้สามารถพิมพ์และนำไปติดไว้ที่ผนังห้องเพื่อช่วยเตือนความจำของนักเรียนในเรื่องกฎระเบียบของห้องสำหรับกฎระเบียบใหม่ๆ ที่ต้องการเพิ่มสามารถเขียนด้วยปากกาเติมลงไปได้ภายหลัง

สำหรับ ทาร่า ฮิคกิ้น์ แล้ว กิจกรรมการเรียนรู้ที่เธอชอบใช้ในช่วงเปิดเทอมใหม่สำหรับเด็กชั้น ป.6 คือ โครงงานเขียนประวัติตนเอง เนื่องจากพบว่านักเรียนส่วนใหญ่เมื่อเรียนจบชั้น ป.6 มักจะไปเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมเอกชนที่นักเรียนต้องเขียนประวัติของตนเองส่งไปด้วยในการสมัครเข้าเรียน

ในการเรียนการสอน ทาร่าจะฝึกให้นักเรียนใช้โปรแกรม Microsoft Word เขียนประวัติส่วนตัวตามหัวข้อที่โรงเรียนที่พวกเขาต้องการศึกษาต่อกำหนดไว้ อาทิ ประสบการณ์การเป็นอาสาสมัคร กิจกรรมเสริมหลักสูตรพิเศษ งานอดิเรก ความสนใจอื่นๆ เป็นต้น ครูฝึกให้นักเรียนรู้จักใช้แบบฟอร์มและเครื่องหมายต่างๆ ในการพิมพ์ประวัติ และช่วยกันเลือกฟ้อนท์ (แบบตัวอักษร) ที่เหมาะสม

"กิจกรรมนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่เด็กจะได้เรียนรู้เรื่องกราฟิคดีไซน์ในเบื้องต้น เมื่อเด็กเขียนงานเสร็จแล้วก็จะพิมพ์ออกมาด้วยกระดาษพิเศษที่สามารถนำไปใช้สมัครเรียนได้จริง กิจกรรมนี้ใช้เวลาพิมพ์ ตรวจปรู๊ฟ และแก้ไขประมาณ 60-90 นาที" ทาร่า กล่าว

สำหรับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตโดยตรงนั้น เดฟ ฟิจิ ครูสอนระดับมัธยมเล่าว่า หนึ่งในกิจกรรมที่เขาทำ คือ โครงงานจัดทำเว็บไซต์ขนาด 4 หน้า หน้าแรกเป็นหน้าหลัก ที่เหลืออีก 3 หน้าเป็นหัวข้อที่ผู้เข้าเยี่ยมชมสนใจ ในการเรียนวันแรกครูจะสอนพื้นฐานของการทำเว็บเพจอย่างง่าย โดยนักเรียนจะทำตามขั้นตอนที่ครูสอน ส่วนในวันต่อๆ ไป เด็กจะเรียนรู้ถึงการเชื่อมโยงจากหน้าหลักไปยังหน้าอื่นๆ ที่ครอบคลุมโครงงานของเขา

เดฟมักใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ตอนต้นชั่วโมงพูดถึงทักษะที่นักเรียนจำเป็นต้องใช้ในการจัดทำเว็บเพจแต่ละขั้นตอน จากนั้นเด็กๆ จะเริ่มลงมือพัฒนาโครงงานของตนเองสิ่งที่เน้นเป็นพิเศษคือการใช้ความคิดสร้างสรรค์ โดยคำถามที่ครูมักใช้บ่อยๆ คือ "นักเรียนคิดอย่างไร ?" และ "นักเรียนต้องการสื่อถึงอะไร ?" มากกว่าคำถามประเภทที่ว่า "นี่ถูกต้องแล้วหรือ ?" หรือ "นี่คือสิ่งที่นักเรียนต้องการหรือ ?"

หน้าชีวประวัติ นักเรียนจะเล่าประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายของตนเอง รวมถึงกิจกรรมที่ทำทั้งในและนอกโรงเรียน การเดินทาง ความสำเร็จในอดีต และเป้าหมายในอนาคต

หน้าเชื่อมโยง นักเรียนจะต้องเชื่อมโยงไปยังหัวข้อต่างๆ อย่างน้อย 10 หัวข้อที่เขาสนใจ เป็นต้นว่า ข่าว ดินฟ้าอากาศ กีฬา บันเทิง ภาพยนตร์ ดนตรี และ/หรือภาพยนตร์ชุดทางทีวี

หน้าที่สนใจ หน้านี้จะมีจุดเด่นที่งานอดิเรกหรือเรื่องอื่นๆ ที่นักเรียนสนใจเป็นพิเศษ

"เราพบว่านักเรียนสามารถผลิตหัวข้อต่างๆ ออกมาได้อย่างรวดเร็วเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวของเขาโดยตรง" เดฟ กล่าว พร้อมกับให้คำแนะนำว่า โครงงานนี้สามารถใช้ในคอร์ส เรียนต่างๆ ที่ใช้โปรแกรม HTML editor, simple text, Note Pad, Internet Browser, HyperCard, Realbasic, Visual Basic หรือ Power Point

ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ตัวอย่างที่นำมาเสนอเพื่อจุดประกายความคิดให้แก่ครู ในการนำไปปรับใช้ในกิจกรรมการเรียนรู้เทคโนโลยีโดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ในห้องเรียนบ้านเรา ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้น่าจะช่วยให้เด็กๆ เรียนคอมพิวเตอร์ได้อย่างสนุกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น....




ที่มาข้อมูล : สานปฏิรูป ฉบับที่ 59 เดือนกุมภาพันธ์ 2546
เทคนิคการเรียนเก่ง 7 ข้อ แบบง่ายๆ
เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษ
เทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านสำหรับผู้บริหาร
สอนอย่างไรให้เด็กคิดเขียน
เรียนรู้ "คณิต" แนวใหม่ เปิดหัวใจเด็กให้หาคำตอบ
เล่นกลวันละนิดพิชิตความอาย - มีวินัยในตัวเอง
สอนอย่างไรให้พูดออกเสียงคำควบกล้ำถูกต้อง
เทคนิคสอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนสื่อสารได้
เหตุใดอ่านแล้วไม่เข้าใจ ทำไมอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง
ยุทธศาสตร์ "การถาม" ในชั้นเรียน
อ่านทั้งหมด

ไม่มีความคิดเห็น: