Life Style
โลกใบเล็กที่ยิ่งใหญ่ ของหนอนน้อยนักอ่าน
โดย : นิรันศักดิ์ บุญจันทร์

บรรยากาศในร้าน

ข้างในร้าน

เจ้าของร้าน เกศรา คำเกษม

บรรยากาศหน้าร้าน
ร้านเช่าหนังสือเล็กๆ แห่งหนึ่งย่านชานเมือง เป็นแหล่งชุมนุมอันแน่นขนัดของหนอนน้อยนักอ่าน บางที "วาระการอ่านแห่งชาติ" อาจต้องเอาเยี่ยงอย่าง
ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรือน่าตื่นเต้นอะไรเลย กับการที่หน่วยงานของรัฐประกาศ "วาระการอ่านแห่งชาติ" เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้คนไทยรักการอ่านมากขึ้น เพราะการประกาศในลักษณะเช่นนี้มักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หรือไม่ก็เป็นข่าวปรากฎตามสื่อต่างๆ ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น...ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆเ งียบหายไปในที่สุด
แม้ว่ารัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ จะตื่นตระหนกกับสถิติการอ่านหนังสือของประชากรไทยที่น้อยมาก (คนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปอ่านหนังสือลดลง จากร้อยละ 69.1 ในปี 2548 เป็นร้อยละ 66.3ในปี 2551 / ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ) จนต้องออกมารณรงค์ครั้งใหญ่ โดยร่วมมือกันหลายฝ่าย แต่ถึงกระนั้นผลที่ได้รับก็ยังเงียบงัน
ดังนั้น คำถามจึงเกิดตามมามากมายว่า...เพราะอะไร "วาระการอ่านแห่งชาติ" ของเราพร่ำพูดกันบ่อยครั้งจึงไม่ประสบผลสำเร็จ หรือล้มเหลวในขั้นตอนไหน แนวความคิด หรือการลงมือปฎิบัติ ....หรือเป็นเพราะศักยภาพของหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องเหล่านี้ ขาดความคิดสร้างสรรค์ ขาดความจริงใจ และขาดการแสวงหาหนทางที่แปลกแตกต่างไปจากเดิม
ในขณะที่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ รณรงค์ให้คนไทยรักการอ่านจนถึงขั้นประกาศเป็นวาระแห่งชาติ แต่กลับมีร้านเช่าหนังสือเล็กๆแห่งหนึ่งสวนกระแสอย่างน่าสนใจ ทั้งแนวความคิดและการจุดประกายให้เยาวชนรักการอ่านหนังสือ
และบางที นี่อาจเป็นโมเดลเล็กๆ ที่เครือข่ายวาระการอ่านแห่งชาติ ควรศึกษาประกอบการปฏิบัติงาน
มากกว่าร้านเช่าหนังสือ
ร้านเช่าหนังสือชื่อ "เพลินจัง" ตั้งอยู่ไม่ห่างจากปากทางเข้าหมู่บ้านวรารักษ์ ถ.เลียบคลอง 3 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มากนักนั้น ถ้ามองอย่างผิวเผิน ก็จะรู้สึกว่ามันเป็นเพียงร้านเช่าหนังสือเล็กๆ ร้านหนึ่งเท่านั้น
แต่ถ้ามองอย่างพินิจกลับพบว่ามีบางสิ่งที่สะดุดตา นับตั้งแต่ป้ายหน้าร้าน และการตกแต่งที่เหมาะกับวัยเด็ก ทั้งการใช้ตัวหนังสือ และสีสันต่างๆ ให้ความรู้สึกร่าเริงมากกว่าเคร่งขรึม
และเมื่อผลักประตูกระจกเข้าไปสัมผัสบรรยากาศภายในร้าน นอกจากความเงียบสงบแล้ว ก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นห้องนั่งเล่นภายในบ้าน มิใช่ร้านหนังสือ ยิ่งรับรู้แนวความคิดของผู้ก่อตั้งร้านด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้อดนึกวาระการอ่านแห่งชาติที่หน่วยงานของรัฐโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ไม่ได้ เพราะวิธีการและกลยุทธ์ในการปลูกฝังให้เด็กๆ รักการอ่านของร้านนี้ ประสบผลสำเร็จอย่างมากมายนั่นเอง
เกศรา คำเกษม ผู้ก่อตั้งร้านหนังสือ "เพลินจัง" เป็นชาว อ. ด่านซ้าย จ.เลย อดีตเป็นนักศึกษาภาคสมทบวิทยาลัยสวนสุนันทา ในช่วงที่ศึกษาก็ทำงานไปด้วย โดยเริ่มงานที่สำนักพิมพ์เม็ดทราย ที่นั่นเกศราได้ฝึกทำหลายอย่างทั้งวาดรูป จัดหน้าหนังสือ จนไต่เต้าขึ้นเป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์ และก่อนหน้าจะมาเปิดร้านหนังสือนั้น เธอยังเป็นอาจารย์สอนดนตรีไทย จนกระทั่ง 3 ปีที่ผ่านมา เธอจึงตั้งร้านเช่าหนังสือที่ชื่อ "เพลินจัง" ขึ้น
"ถ้าจะทำร้านหนังสือเช่าแบบนี้เพื่อหวังผลทางธุรกิจจริงๆ คงไม่ได้.....แต่ทำด้วยใจรักและคิดว่ามันเป็นความสุขมากกว่า อีกอย่างหนึ่งก็เป็นงานอิสระและเป็นงานที่เราถนัดด้วย"
งานในร้านเกศราทำเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ จัดมุมโต๊ะเก้าอี้ ชั้นวางหนังสือ หรือแม้กระทั่งการออกแบบตัวตัวหนังสือให้เหมาะสมกับร้าน โดยอาศัยประสบการณ์งานในสำนักพิมพ์ ซึ่งเน้นกลุ่มคนอ่านที่เป็นเด็ก ดังนั้นโทนหรือบรรยากาศจึงเหมาะกับเด็ก และให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้าน
"ร้านนี้เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ปี2550....จากวันนั้นถึงวันนี้ มีสมาชิกร่วม 500 คน มีตั้งแต่เด็กเล็กๆ วัยเตรียมก่อนเข้าอนุบาลที่พ่อแม่พามาเป็นสมาชิก จนถึงคนวัย 82 แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นเด็กวัยประถมและมัธยม การรับสมัครสมาชิกก็ไม่แพง เราคิดราคาถูกๆ เพียงปีละ 30 บาท ถ้าต่ออายุต่อปีก็ 20 บาท หรือการคิดค่าปรับหนังสือก็ไม่แพง มีการพูดคุยติดต่อกับสมาชิกตลอดเวลา เพราะทางร้านจะจัดทำฐานข้อมูลสมาชิกไว้อย่างเป็นระบบ"
แต่สิ่งที่เกศราเปิดเผยให้รับรู้ มันมากกว่าคำว่า "ร้านหนังสือเช่า" ธรรมดา
"ที่นี่ไม่ใช่ร้านเช่าหนังสือเท่านั้นนะ....แต่จะเป็นแหล่งการทำกิจกรรมสำหรับเด็กๆ ทั้งในด้านความรู้ และความบันเทิงด้วย อย่างในแง่ของความรู้ นอกจากดิฉันจะเป็นผู้สอนเด็กๆ ทั้งการวาดรูป หรือดนตรีไทยแล้ว บางครั้งเราก็เชิญครูที่เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ มาให้ความรู้พิเศษแก่สมาชิกที่เป็นเด็กๆ ด้วย
มีผู้ปกครองหลายคนนะ ที่มีลูกเล็กๆ และก่อนจะนำลูกไปเข้าโรงเรียนอนุบาล ก็จะพาลูกมาทำกิจกรรมในร้าน หรืออย่างน้อยๆ ก็พาลูกมาพบเจอผู้คนนอกบ้าน ได้อยู่อีกสถานที่หนึ่งที่ต่างจากบ้าน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนจะพาเข้าโรงเรียนจริงๆ"
ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ การทำร้านให้เป็นแหล่งพักพิงที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ อย่างกรณีที่พ่อแม่ของสมาชิกร้านมีธุระนอกบ้าน ก็สามารถจะนำลูกมานั่งเล่นหรือนั่งอ่านหนังสือในร้านได้
สร้างกิจกรรมผลิตแรงจูงใจ
โลกของเด็กต่างจากโลกของผู้ใหญ่ เพราะเป็นโลกที่ร่าเริงและสนุกสนาน ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้เด็กยุคปัจจุบันหันหลังให้กับห้องสมุดที่มีอยู่มากมาย โดยเฉพาะห้องสมุดตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งล้วนแล้วแต่ดูเคร่งขรึม และไร้บรรยากาศชวนเข้าไปอ่าน
"เราต้องคิดค้นจัดกิจกรรมที่เหมาะสำหรับเด็ก....ที่ร้านนี้จะจัดกิจกรรมบ่อย ไม่ว่าจะเป็นวันขึ้นปีใหม่ วันคริสมาสต์ วันเด็ก หรือแม้กระทั่งวันฮัลโลวีน เราก็จัดให้พวกเด็กๆ ได้มาพบปะสังสรรค์กันอย่างสนุก มีการจัดบอร์ด มีการลงสมุดบันทึกแสดงความรู้สึกของแต่ละคนด้วย"
ไม่เพียงเท่านั้น การจัดกิจกรรมบางอย่างต้องสอดคล้องกับการอ่านหนังสือของเด็กๆ เพื่อเป็นการมอบของขวัญหรือให้กำลังใจด้วย โดยเฉพาะโครงการคัดสรร "นักอ่านมาราธอน" โดยจะรวบรวมสถิติเวลาของการเข้ามาเช่าหนังสืออ่านในร้าน ซึ่งเด็กๆ บางคนชอบอ่านหนังสือ และนั่งอ่านนานถึง 5-6 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว
"เกี่ยวกับกิจกรรมนักอ่านมาราธอนนั้น นอกจากจะเป็นการตอบแทนเด็กๆ ที่รักการอ่านแล้ว ยังเป็นการสร้างแรงจูงใจไปในตัวด้วย เช่น ถ้าเด็กคนไหนนั่งอ่านหนังสือสะสมจนครบ 15 ชั่วโมง ทางร้านเราจะให้นั่งอ่านหนังสือฟรี 1 ชั่วโมง สำหรับโครงการนักอ่านมาราธอน เราจะตัดสินจำนวนชั่วโมงที่อ่านตลอดทั้งปี โดยจัดระดับรางวัลที่แตกต่างกันไป อย่างปี 2552 ที่ผ่านมา ดังนี้
รางวัลอันดับ1 เวลาอ่าน 269 ชั่วโมง
รางวัลอันดับ 2 เวลาอ่าน 165 ชั่วโมง
รางวัลอันดับ 3 เวลาอ่าน 154 ชั่วโมง
รางวัลชมเชย เวลาอ่าน 120 ชั่วโมง
ที่น่าสนใจก็คือ ถ้าเด็กคนไหนที่อ่านได้อันดับ 1 เราจะมอบร้านหนังสือร้านนี้เป็นของเขาฟรีๆ 1 วัน และไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าหนังสือ ค่าขนมเครื่องดื่ม ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าปริ๊นเตอร์ ซึ่งเป็นรายได้ที่ทางร้านได้รับ จะเป็นของเด็กที่ได้รับรางวัลทั้งหมด....คือพูดง่ายๆ ยกร้านทั้งร้านให้เด็กคนนั้นบริหารและได้เงินทั้งหมดของวันนั้นเลย"
หรือไม่ก็จะมีการแถมหนังสือที่นอกเหนือจากหนังสือที่เช่า ให้ได้อ่านฟรี โดยจัดหนังสือที่จะช่วยเสริมจิตใจให้ดีงาม ประเภทหนังสือแนวธรรมะหรือสุขภาพ
สวนทางอย่างเข้าใจ
เมื่อถามความเห็นเกี่ยวกับวาระการอ่านแห่งชาติ ที่หลายรัฐบาลพยายามจะทำนั้น เกศรา บอกว่า ที่ไม่ประสบผลสำเร็จนั้นมีหลายปัจจัย อย่างแรกคือ หนังสือราคาแพง
"สาเหตุที่ทำให้ร้านของเรามีสมาชิกจำนวนมากก็เพราะการซื้อหนังสือแต่ละเล่มราคามันแพง สู้มาเช่านั่งอ่านไม่ดีกว่าหรือ.....อีกอย่างหนึ่งก็คือหน่วยงานของรัฐที่ทำเกี่ยวเรื่องการอ่านต้องคิดมากกว่านี้ โดยเฉพาะต้องคิดกลวิธีใหม่ๆในการสร้างแรงจูงใจให้คนเดินเข้ามาในหอสมุด ทุกวันนี้คนไม่อยากจะเข้าหอสมุดอ่านหนังสือเพราะดูมันเป็นสถานที่ที่เคร่งเครียดเกินไป...ยิ่งเป็นเด็กๆ ด้วยแล้ว...ยิ่งไม่อยากจะเข้าไปหรอก อีกอย่างห้องสมุดมันควรจะอยู่ใกล้ชุมชนด้วย"
นอกจากนี้แล้ว แนวความคิดที่แตกต่างของเธอในการบริหารจัดการร้านหนังสือเช่า ยังแตกต่างกับหลักการของหอสมุดต่างๆ ที่เป็นของรัฐบาล ทั้งหอสมุด ห้องสมุด ฯลฯ อย่างสิ้นเชิง
"ร้านเช่าหนังสือในวันปกติจะเปิดช่วงเย็น คือเริ่มตั้งแต่4-5 โมงเย็นไปจนถึง 3 ทุ่ม เราต้องนึกถึงความเป็นจริงว่า ในวันปกติเด็กต้องไปเรียนหนังสือทุกวัน ดังนั้นช่วงเย็นๆ จะเป็นช่วงที่เขาต้องการพักผ่อน หรือหาความบันเทิง พอตกตอนเย็นก็จะมีเด็กเข้ามาเช่าหนังสือทั้งที่เอาไปอ่านที่บ้าน และนั่งอ่านในร้าน.....ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์จะเปิดทั้งวันเลย เพราะเป็นวันหยุด จะมีทั้งเด็กและผู้ปกครองเข้าร้านตลอดทั้งวัน หรือถ้าพ่อแม่คนไหนมีธุระสักสามสี่ชั่วโมง ก็ให้ลูกนั่นอ่านหนังสือรออยู่ในร้านได้ โดยที่พ่อแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย"
เพราะฉะนั้น การคิดในทางตรงกันข้ามกับวิธีการบริการของหอสมุดของรัฐ ที่สวนทางกับสภาพความเป็นจริง คือ เปิดทำการในวันที่เด็กต้องเรียนและผู้คนต้องออกไปทำงาน แต่ปิดวันเสาร์อาทิตย์ตามระบบราชการ ซึ่งเป็นเวลาว่างสำหรับหลายคนที่จะพาลูกหลานเข้าห้องสมุด
นอกจากนี้แล้ว การบริการในเรื่องคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์ ทางร้านยังจัดเป็นมุมเฉพาะเพื่อการให้เด็กได้ค้นคว้าหาความรู้ หรือทำการบ้านเท่านั้น
"เครื่องคอมพิวเตอร์ในร้านของเราจะไม่มีเกมให้เล่น หรือการใช้หูฟังก็ไม่มีเช่นกัน เพราะเราไม่ส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าเป็นการทำกิจกรรมด้านความรู้ เช่น การค้นหาข้อมูลเพื่อทำรายงาน รวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งการปรินท์ภาพ ตลอดจนการเย็บเล่มรายงาน ร้านเรามีหมด และยินดีช่วยเหลือเด็กๆ ในเรื่องเหล่านี้"
กำไรคือสุขใจ
การทำธุรกิจใดๆ ก็แล้วแต่ ย่อมมีการลงทุน และหวังผลกำไร แต่สำหรับ เกศรา เธอบอกว่าพออยู่ได้ สำหรับการใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่า ค่าซื้อหนังสือเข้าร้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ รวมทั้งค่าอุปกรณ์ต่างๆ และค่าจัดกิจกรรมสำหรับเด็กๆ ที่ชอบอ่านหนังสือ
"รายได้ก็พอจะเลี้ยงตัวเองได้....วันปกติก็จะได้ราวๆ 700-1,000 บาท....แต่ถ้าเป็นวันหยุดก็จะได้มากหน่อย....สูงสุดคือช่วงหยุดเทศกาลต่างๆ อย่างหยุดปีใหม่จะได้ร่วมวันละ 2,000 บาท เพราะอยู่บ้านมีเวลาอ่านหนังสือ"
สิ่งพิเศษอีกอย่างหนึ่งของร้านนี้ก็คือ ลูกค้าในวัยเกษียณที่ขยันแวะเวียนมาเข้าร้าน บางคนยังเอาหนังสือมามอบให้ร้าน เพื่อแบ่งปันให้คนอื่นๆ ได้อ่านกัน โดยเจ้าของร้านจะหักค่าเช่าที่ได้รับไว้ 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อนำไปทำกิจกรรมการกุศลในวาระต่างๆ ซึ่งต่อมาร้านยังได้กลายเป็นจุดพบปะของนักอ่านสูงวัยอีกด้วย
"เพลินจัง" แม้จะเป็นเพียงร้านเล็กๆ แต่ก็เปรียบเสมือนเป็นโลกใบเล็กที่ยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาเด็กๆ ที่ชอบอ่านหนังสือ โดยไม่ต้องรอหรือโหนกระแส "วาระการอ่านแห่งชาติ" อย่างไม่รู้จุดหมาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น