วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถูกหวยแมว


สวัสดีครับคุณสามวา

ผมได้มีโอกาสร่วมทำบุญบริจาคช่วยชาวเฮติ ผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ไปยังช่อง 3 รายการของคุณสรยุทธ ทำให้ผลบุญนี้ส่งกลับมาถึงผม เพราะถูกหวย 312 ตรงๆ ในงวดที่ผ่านมา และได้เงินกลับคืนหลายเท่าของเงินที่ได้บริจาคไป ฮิฮิ...

นี่แหละครับที่เขาบอกว่าทำบุญไว้เถิดจะเกิดผล ความจริงเลขเด็ดที่ได้ก็คือแมวที่ผมเลี้ยงไว้ให้โชคล่ะครับ ผมเองเลี้ยงไว้หลายตัวส่วนใหญ่จะมีแต่เพศเมีย บังเอิญเกิดท้องพร้อมกัน 2 ตัว ตัวหนึ่งออกลูก 2 อีกตัวออกลูกโทนคือ 1 ก็เลยต้องตีเป็น 12 และแมว 2 ตัวออกลูกรวมกันได้ 3 ก็เลยกลายเป็นเลขเด็ด 312 ฮิฮิ..ไม่ต้องไปหาเลขเด็ดจากอาจารย์ที่ไหน

อ่าน จ.ม.จากผู้เขียนที่เขียนมาถึงคุณสามวา ทำนองรู้สึกวิตกกังวลและเครียด เรื่องคนเสื้อแดงจะก่อหวอดเผาบ้านเผาเมืองอาละวาดอีกแล้ว ก็อย่าไปกังวลหรือดูรายการ "ซีมาร์ vs. โทน้ำ" ของ ดร.เสรีกับหนุ่มแจ๊คทางช่อง 11 มากเกินไปซิครับ มันก็เลยเกิดอาการคัน

ลองหันไปเปิดดูช่องเสื้อแดงกับเขาบ้างซิครับ โธ่เอ้ย! ในม็อบส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิงกับคนแก่ทั้งนั้น พอๆ กับม็อบเสื้อเหลืองนั่นแหละครับ ที่แย่งกันฟ้อนเงี้ยวออกทีวี

ผมถึงอยากบอกว่าในช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ผมขอยกย่องให้เป็นปีทองของผู้หญิงเลย ที่มีบทบาทด้านการเมืองภาคประชาชนเลยก็ว่าได้

ไหนๆ ก็ใกล้ 8 มีนา วันสตรีสากลในเดือนหน้าแล้ว แกนนำทั้งสองสีต้องกล่าวขอบคุณวีรสตรีเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ ที่ปกป้องจนทหารกับตำรวจไม่กล้าใช้ความรุนแรงกับม็อบ

แค่น้องโบว์เสียชีวิต ตำรวจยังโดน ป.ป.ช.เล่นงานแทบเอาตัวไม่รอด จน ก.ตร.ต้องออกมาดับเครื่องชนศึกศักดิ์ศรีครั้งนี้ ยังไม่รู้จะออกมาหัวหรือก้อย ฮิฮิ...เห็นไหมล่ะครับ

พูดถึง 8 มีนา วันสตรีสากล ผมต้องนึกย้อนกลับไปสมัยเป็นนักศึกษา ซึ่งขณะนั้นเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 ก็ลงสมัครเลือกตั้งในมหา'ลัย ก็อาศัยหาเสียงกับนักศึกษาหญิงนี่ล่ะครับ

ไปทำที่คั่นหนังสือสวยๆ แล้วสกรีนตัวหนังสือลงไปว่า "8 มีนา วันสตรีสากล สตรีเสมอภาค สร้างสรรค์" แล้วแจกนักศึกษาหญิงในมหา'ลัย แค่นี้ก็ได้ใจนักศึกษาหญิงแล้วล่ะครับ

ปรากฏว่าผมได้คะแนนเสียงท่วมท้น ชนะการเลือกตั้งได้เป็นสมาชิกสภานักศึกษา โดยไม่ต้องแจกเงินซื้อเสียงเหมือนนักการเมืองในปัจจุบัน

เพราะฉะนั้นอย่าไปกังวลกับม็อบคนเสื้อแดงให้เมื่อยตุ้ม

คนดูแลม็อบอย่าใช้ทหาร เอาตำรวจนั่นแหละดูแลม็อบเป็นดีที่สุด เพราะพวกเดียวกันคุยกันรู้เรื่อง

อีกอย่างที่มาร่วมกับม็อบ ก็มีลูกเมียตำรวจที่ไม่พอใจมาร่วมด้วย เพราะคิดว่าตำรวจสามีโดนเล่นงานแบบสองมาตรฐาน ฮิฮิ... ฉะนั้นผมถึงไม่แปลกใจหรอกครับ และถูกต้องแล้วที่ท่านบิ๊กป๊อก-พลเอกอนุพงษ์ จะใส่เกียร์ว่างแล้วร้องเพลงของแอ๊ด คาราบาว ว่า "สบายกว่ากันเยอะเลย อยู่เฉยๆ ดีกว่า...สบายกว่า"

บทสรุปของผมก็คือไม่มีหน่อไม้ในกอไผ่

ส่วนทหารก็อยู่กับลูกกับเมียในกรมกองซะ อย่าออกมาตบเท้าให้เสียเวลาเปล่า เดี๋ยวจะโดนตบหลัง (มีคนแอบมากระซิบให้ฟัง) แล้วอาชีพราชการจะไม่ก้าวหน้านะจะบอกให้ โดยเฉพาะเหล่าทหารบก ฮิฮิ...

พูดถึงใครจะก่อการปฏิวัติรัฐประหารในช่วงนี้ ผมบอกได้เลยพาประเทศลงเหวแน่ๆ

ก็ดูอย่างม็อบเสื้อเหลืองยึดสนามบินปี 51 และหลังจากออกจากสนามบินแล้ว ถัดมาอีกไม่นานก็ถึง "วันพ่อ" 5 ธ.ค.51 ผมเองชอบไปยืนดูขบวนแห่ของราชการ ทหาร ตำรวจ และกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ที่เดินเทิดพระเกียรติจากสะพานผ่านฟ้าฯ มาตามถนนราชดำเนินและเข้าสู่ปริมณฑลท้องสนามหลวง เพื่อเตรียมจุดเทียนชัยถวายพระพรในช่วงค่ำเป็นประจำของทุกปี

แต่คุณสามวาครับ วันที่ 5 ธ.ค.51 ที่ผ่านมา ผมแทบมองไม่เห็นฝรั่งต่างชาติ ที่ทุกปีจะมายืนดูขบวนแห่สองฟากฝั่งถนนราชดำเนินจนเต็มไปหมดเพื่อชื่นชมพระบารมี แต่คราวนี้ผมนับชาวช่างชาติได้ 2 คนจริงๆ นอกนั้นเผ่นกลับประเทศกันไปหมด

ผมก็เลยอยากบอกม็อบทั้ง 2 สี ในทำนองเพลงตะลุงภาคใต้ที่ว่า "ทำอะไรทำเถิดอย่าเปิดผ้า ทำอะไรไม่ว่าผ้าอย่าเปิด" เอ้ย! ไม่ใช่ ห้ามปิดยึดสนามบินเป็นอันขาด เพราะตอนนี้วินาทีนี้ผมบอกได้เลยว่า กำลังจะเป็นปีทองขึ้นราคา เอ้ย! ปีทองแล้ว ผมสังเกตจากอะไรรู้ไหมครับ เพราะผมมีลูกค้าอยู่ถนนข้าวสารสั่งสินค้าของผมเพิ่มอีกเท่าตัว เลยสอบถามจากลูกค้าได้ความว่า ชาวต่างชาติแห่มาเที่ยวกันเยอะมากช่วงนี้ ส่งสัญญาณให้รู้ว่าเขากลับมากันแล้วครับ

ผมจึงไม่แปลกใจที่ชาวถนนข้าวสาร จึงแห่มาลงชื่อตอนถวายฎีกาของคนเสื้อแดงกันเยอะ เพราะเขาเคืองคนเสื้อเหลือง ที่ไปยึดสนามบินจนลูกค้าชาวต่างชาติเขาหายไปหมด จึงขอทำนายเอาไว้เลยถ้าปฏิวัติกันอีก เตรียมเจ๊งกันได้เลย เศรษฐกิจจะซึมยาวจนกู่ไม่กลับ

เพราะฉะนั้นท่านบิ๊กป๊อกและท่านโฆษกไก่อู บอกรับรองว่าไม่มีการปฏิวัติ ต้องรักษาคำสัตย์ของลูกเสือด้วยว่า "เสียชีพอย่าเสียสัตย์ เสียเข็มขัดอย่าเสียกางเกง" เอ้ย! ไม่ใช่ขออภัยโทษกลอนพาไป มิฉะนั้นจะเหมือนท่านบิ๊กสุที่บอกว่า "เสียสัตย์เพื่อชาติ" จะยุ่งไปกันใหญ่แบบพฤษภาทมิฬ

ก็ลาไปด้วยเพลงที่นักธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรม คงจะต้องร้องร่วมกันถ้าเกิดการปฏิวัติ คือเพลง "ปราสาททราย" ที่ว่า "ไม่เหลืออะไรเลย สิ่งที่เคยมีความใฝ่ฝัน ไร้กำลังจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม ไม่เหลืออะไรเลย" ฮิฮิ...

ขอแสดงความนับถือ

นายผีตองเหลือง

ตอบ คุณผีตองเหลือง

แทงหวยแมวถูกเอามาคุยโม้โอ้อวด งวดที่แทงหวยไม่ถูกไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้างเลย

...............................

หัวลำโพงไม่ใช่วัวลำพอง

เรียน คุณสามวา สองศอก

คอลัมน์สรรสาระในไทยโพสต์ เคยนำเรื่อง "หัวลำโพง" มาเขียนว่า..."สถานีรถไฟกรุงเทพ หรือที่นิยมเรียกกันว่าสถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นสถานีรถไฟหลักของประเทศไทยและเป็นสถานีที่เก่าแก่ที่สุด สร้างในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี 2453 สร้างเสร็จและเริ่มใช้งานวันที่ 25 มิถุนายน 2459 ซึ่งคำว่าหัวลำโพงสันนิษฐานว่า ตั้งชื่อตามคลองและทุ่งที่มีฝูงวัววิ่งกันคึกคัก ที่เรียกว่าทุ่งวัวลำพอง และได้เพี้ยนเสียงมาเป็นหัวลำโพง บ้างก็สันนิษฐานว่าเป็นชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง คือต้นลำโพง ซึ่งเคยมีมากในบริเวณนี้"

แต่ผมได้เอกสารสำคัญเป็นสำเนาที่ถ่ายเอกสาร จากคอลัมน์พูดไทยเขียนไทยในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ที่มีผู้ใช้นามว่า "พสส" เขียนจดหมายไปถึง "เปรียญ 7" เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2541 โปรดทำความเข้าใจให้ถูกต้อง

ผ่อง พันธุโรทัย

เรียน คุณ "เปรียญ 7" ที่เคารพ

ผมได้อ่านเรื่อง "เที่ยววัดหัวลำโพง" ของคุณธานี สุวรรณประทีป ในสยามรัฐ วันพุธที่ 7 ม.ค.41 มาสะดุดข้อความที่ว่า "วัดหัวลำโพง" เดิมชื่อ "วัดวัวลำพอง"

พระยาอนุมานราชธนท่านเล่าว่า อำมาตย์ตรีพระธรรมนิเทศทวยหาญ (อยู่ อุดมศิลป์) ได้ชี้แจงให้ท่านทราบว่า "หัวลำโพง" ไม่ควรเรียกว่า "วัวลำพอง" เพราะที่เรียกว่า "หัวลำโพง" หมายถึงส่วนเริ่มต้นของลำเหมืองหรือลำราง ที่โพงน้ำเข้าไปใช้ในเนื้อที่เพาะปลูก

คุณพระธรรมนิเทศทวยหาญ (พ.ศ.2424-2510) ท่านเป็นผู้ที่มีนิวาสถานอยู่ที่ตรอกบ้านข้าวหลาม ตำบลหัวลำโพง ในจังหวัดพระนคร ในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีก่อนหัวลำโพงยังคงเป็นไร่เป็นนา มีคูคลองหัวลำโพงซึ่งบัดนี้ไม่มีแล้ว

ท่านเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ได้บรรพชาเป็นสามเณรจนได้เป็นเปรียญ 9 ประโยค เป็นพระราชาคณะที่อมรภิรักขิต วัดเทพศิรินทราวาส ลาสิกขาเข้ารับราชการในกรมศึกษาธิการ เป็นพนักงานราชบัณฑิต ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เป็นอนุศาสนาจารย์ของกองทหารไทย ณ ประเทศในยุโรป หลังจากนั้นได้เป็นกรรมการชำระปทานุกรม

ควรกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยว่า สมัยนั้นมีเปรียญเอกชื่อ "อยู่" ถึง 3 องค์ คือพระมหาอยู่วัดสระเกศ (คือสมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์แล้ว) พระมหาอยู่วัดประยูรวงศ์ฯ (เป็นพระธรรมไตรโลกาจารย์ แล้วลาสิกขา) และทั้ง 3 ท่านเมื่อออกชื่อต้องใช้เนมิตกนามประกอบด้วยจึงจะรู้ว่าองค์ไหน คือถ้าหมายถึงท่านวัดสระเกศก็ "อยู่โหร" วัดประยูรฯ "อยู่นักเทศน์" วัดเทพศิรินทร์ "อยู่นักธรรม"

ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น การใช้ถ้อยคำผิดๆ ของทางราชการ หากความทราบถึงพระเนตรพระกรรณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มักจะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย และทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงทันที

ดังเช่นกรณีนี้เล่ากันว่าทรงกริ้วมาก ผมขออัญเชิญพระราชหัตถเลขาลงวันที่ 4 กรกฎาคม ร.ศ.129 ทรงมีถึงพระไพศาลศิลปศาสตร์ เจ้ากรมตรวจการศึกษา กระทรวงธรรมการ ต่อมาคือเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ความตอนหนึ่งมีดังนี้

"ข้อซึ่งไม่ชอบแท้นั้น คือสำแดงความโง่ของกรมศึกษา...ถ้าขืนเอาอย่างฝรั่งตะพัดตะเพิดไป จะหลงไม่รู้หัวนอนปลายตีน เมืองเก่าๆ ที่เรียกชื่อไว้ในหนังสือ จะกลายเป็นเมืองในพระอไภยไปหมด การเช่นนี้มีกระทั่งในกรุงเทพฯ เช่น หัวลำโพง ฝรั่งเรียกไม่ชัด ไทยเราพลอยเรียกตามว่า วัวลำพอง นี่เป็นเรื่องที่ควรจะฟาดเคราะห์จริงๆ"

(พระบรมนามาภิไธย) สยามินทร์

ตอบ ลุงผ่อง

ถ้าคนไทยโพสต์ยังเข้าใจผิด คิดว่าหัวลำโพงมาจากวัวลำพอง ก็ให้ลุงผ่องหวดด้วยไม้เรียวได้เลยครับ

สามวา สองศอก

ไม่มีความคิดเห็น: