วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เพื่อประชาชน
เพื่อประชาชน ประจำวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553

"ความรัก คือพลังเหนี่ยวรั้งให้เป็นหนึ่งเดียวกัน"

ท่านผู้อ่านที่เคารพ


ฉบับที่แล้ว กระผมได้เขียนถึงความรัก และบทเรียนจากความรักไว้ ก็ยังไม่สร้างความรู้ ความเข้าใจให้ผู้คนจำนวนมากว่า ความรักมีอิทธิพลต่อภัยธรรมชาติอย่างใด จึงขออนุญาตเขียนเรื่องความรัก อีกสักครั้ง

ในการทำความเข้าใจ เรื่องความรัก คือพลังเหนี่ยวรั้งให้เป็นหนึ่งเดียวกัน มีเรื่องต้องนำมาพิจารณาประกอบ 3 เรื่อง คือ เรื่องระบบสุริยจักรวาล เรื่องโลกใบนี้ และเรื่องชีวิตมนุษย์ ทั้งสามเรื่องนี้ล้วนผูกพันเกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องของ "ความรัก" อย่างแท้จริง

ระบบสุริยจักรวาลของเรา มีปรากฏการณ์ให้มนุษย์เรียนรู้อยู่ 3 ประการคือ ดวงอาทิตย์ ดาวนพเคราะห์ และพลังงาน ทั้งดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ต่างๆ นั้น ปรากฏให้เห็นในรูปวัตถุ มีรูปร่างมีตัวตน แต่พลังงานไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน เป็นแรงดึงดูด เหนี่ยวรั้งทั้งโลก ดาวนพเคราะห์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ให้หมุนรอบตัวเอง หมุนรอบดวงอาทิตย์ และอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล อย่างเป็นระบบ ไม่ชนกัน เป็นเวลาช้านานนับล้านๆ ปี

มนุษย์ได้เรียนรู้เพียงว่า สุริยจักรวาลทั้งระบบมีความเป็นเช่นนี้เอง แต่ไม่มีสติปัญญามากพอจะเรียนรู้ว่า ทำไมดาวนพเคราะห์ทุกดวงจึงหมุนรอบตัวเอง และพากันหมุนรอบดวงอาทิตย์ ในกลุ่มดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ดวง ซึ่งบางดวงก็ยังมีดวงจันทร์หมุนรอบดาวเคราะห์ เป็นบริวารอีกด้วย มีดาวดวงไหนทำหน้าที่ เป็นศูนย์กลาง คอยยึดเหนี่ยว เหนี่ยวรั้ง เกาะกลุ่มหมุนรอบตัวเอง และพากันหมุนรอบดวงอาทิตย์ อย่างสมดุล เป็นหนึ่งเดียวกัน

โดยธรรมชาติดาวนพเคราะห์แต่ละดวง แม้แต่ดวงอาทิตย์ ต่างมีพลังงานทำให้หมุนรอบตัวเองทั้งสิ้น และพลังงานที่เกิดการหมุนรอบตัวเองนี้เอง ได้เหนี่ยวรั้ง จัดระยะตำแหน่งดาวนพเคราะห์แต่ละดวงและจัดระยะตำแหน่งตนกับดวงอาทิตย์ไว้อย่างสมดุล แม้ดาวเคราะห์บางดวงมีดวงจันทร์เป็นบริวาร เช่นโลก หรือดาวพฤหัสบดี ก็มีแรงดึงดูด เหนี่ยวรั้งกันไว้ กำหนดระยะตำแหน่ง ที่ต่างพากันหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดาวแม่ คือโลกหรือดาวพฤหัส และทั้งหมดก็พากันโคจรหมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วยกัน เป็นหมู่ดาวนพเคราะห์ มิได้มีดาวดวงใดโคจรอย่างไร้ทิศทาง สะเปะ สะปะ ทุกดวงล้วนถูกควบคุม กำกับด้วยอำนาจพิเศษจากดวงดาวใดดวงหนึ่ง

ดาวเคราะห์ที่ทำหน้าที่ กำกับ ควบคุม เป็นศูนย์กลางของดาวนพเคราะห์ และดวงจันทร์ต่าง ๆ คือ โลกใบนี้ ที่มนุษย์อาศัยอยู่ทุกวันนี้

พลังงานจากโลกจึงเป็นพลังงาน ที่รักษาความสมดุลของระบบดาวนพเคราะห์ในสุริยจักรวาล ไว้ตลอดมา โลกจึงเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาลแห่งนี้

การทำหน้าที่ของโลกใบนี้ เป็นการทำหน้าที่ ด้วยความรักที่มีต่อดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ในระบบสุริยจักรวาล ด้วยพลังงานจากใจกลางโลกเอง จึงเป็นพลังงานแห่งความรัก

โลกจึงเป็น ศูนย์กลางของความรัก ความยึดเหนี่ยวของดาวนพเคราะห์ กับดวงจันทร์ต่าง ๆ และ กับดวงอาทิตย์

การเหนี่ยวรั้งเช่นนี้ คือความรักที่โลกมีต่อระบบสุริยจักรวาล ถ้าโลกใบนี้สูญสลายไป ระบบสุริยะจักรวาลแห่งนี้ก็จักพังพินาศไปด้วย ถ้าพลังความรักที่เหวี่ยงหมุนออกมาจากโลกเหือดหายหรือไม่คงที่สม่ำเสมอ จะทำให้พิกัดตำแหน่งของโลกเปลี่ยนไป และความเป็นศูนย์กลางของดาวนพเคราะห์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์เปลี่ยนไป ดาวทุกดวงจะรวนเร โคจรไร้ทิศทาง จนพุ่งเข้าชนกัน เกิดความเสียหายต่อสุริยจักรวาลทั้งระบบ

หันมาตรวจสอบ ความจริงแท้ของโลกมนุษย์ใบนี้ จากธรรมชาติที่สามารถมองให้เห็นรูปธรรม จับต้องสัมผัสได้ ก็คือโลกประกอบด้วย แผ่นดินสองส่วน แผ่นน้ำสามส่วน แผ่นดินผืนใหญ่อยู่ทางตะวันออกด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามทางทิศตะวันตก มีน้ำ คือมหาสมุทรคั่นกลาง ในชั้นบรรยากาศ มีก๊าซออกซิเจน และก๊าซอื่นๆห่อหุ้มไว้ ออกซิเจนเป็นก๊าซให้ชีวิตต่อมนุษย์ สัตว์ และต้นไม้ ผลิตออกมาจากใจกลางโลก ซึ่งเป็นแท่งออกซิเจนมหึมา (นักวิทยาศาสตร์คิดว่า แท่งนี้คือโลหะ) ที่คอยระเบิด ด้วยอนุภาคแม่เหล็กไฟฟ้าด้านบวกตลอดเวลา เกิดแรงสั่นสะเทือน ทำให้โลกหมุนทวนเข็มนาฬิกา ตลอดมานานนับล้านๆปี

นอกจากนี้ ยังมีสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ห่อหุ้มโลก เป็นเครื่องปิดกั้นมิให้เศษดาวหรือเศษวัตถุ พุ่งชนโลก

บนโลกใบนี้ มีมนุษย์ สัตว์ พืชพันธ์ ต้นไม้ และสรรพสิ่งต่างๆทั้งมีชีวิต และไม่มีชีวิตอาศัยอยู่ติดบนพื้นผิวของโลก เมื่อโลกหมุนรอบตัวเอง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็หมุนตามโลกไปด้วย

ทุกสรรพสิ่งบนโลกทั้งสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ล้วนมีหน้าที่เฉพาะของตน และมีความสมดุล เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะไม่ก้าวล่วง ก้าวก่ายหน้าที่ของกันและกัน ดูได้จากภูเขา แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ประกอบเข้าด้วยกัน ทำหน้าที่ของตนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เช่น ธาตุดิน ทำหน้าที่เป็นที่ปลูกพืชพันธ์ธัญญาหาร ที่อยู่อาศัยของสัตว์ มนุษย์ ธาตุน้ำทำหน้าที่ให้ความชุ่มฉ่ำ ร่มเย็น ให้ชีวิตหล่อเลี้ยงชีวิต ธาตุลมก็ให้อากาศหายใจ ให้ลมพัด ธาตุไฟก็ให้ความร้อน แสงสว่างต่างๆ ปกติธาตุทั้งสี่เจะเกื้อกูล หนุนส่งซึ่งกันและกัน ไม่เป็นปฏิปักษ์ทำลายล้างกัน เว้นแต่มนุษย์จะทำลายความสมดุลทางธรรมชาติเหล่านี้ จึงเกิดความวิปริต แปรปรวนขึ้นมา

ถ้ามนุษย์รู้จักเรียนรู้จะเห็นสัจธรรมว่า ต้นไม้ทุกต้นที่เกิดและเจริญเติบโตขึ้นมา ไม่เคยรังแกทำลายกันเองเลย ต่างก็พากันยืนต้นให้ความรักแก่กันและกัน ให้ความรักแก่สัตว์ต่างๆ ได้อาศัยร่มเงาความรักที่ต้นไม้ พืชพันธ์ธัญญาหารให้แก่กันและกัน ให้แก่สัตว์ และมนุษย์นั้น ก็มีส่วนผลิตอนุภาคกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าด้านบวก ส่งลงไปยังใจกลางของโลก ไปทำปฏิกิริยา ทำให้ก๊าซออกซิเจนจากใจกลางโลก ระเบิด แตกตัวก๊าซออกซิเจน ลอยขึ้นมาสู่ผิวโลก ให้มนุษย์ พืช และสัตว์หายใจ ดำรงชีวิตอยู่ ซึ่งความจริงแท้เช่นนี้ ก็สะท้อนให้เห็นว่า แม้ต้นไม้ ก็ยังเกื้อกูล ต่อต้นไม้ด้วยกัน ต่อสัตว์ทุกชนิด ต่อมนุษย์ และต่อโลกใบนี้

การทำหน้าที่ของต้นไม้เช่นนี้ คือ ความรัก ต้นไม้ยังรู้จักให้พลังแห่งความรัก จนทำให้สัตว์ และอื่น ๆ อยู่ร่วมกันได้ อย่างมีความสุข

ภูเขา หิน แร่ธาตุ แม่น้ำ ลำธารล้วนเป็นสภาวธรรมแห่งความจริง ที่ธรรมชาติจัดสรรวางตำแหน่งไว้ให้เกิดสมดุลในน้ำหนักมวลสารทางวัตถุที่เห็นด้วยตาบนโลก ที่มนุษย์ไม่สมควรเคลื่อนย้ายภูเขา ย้ายหิน ปิดกั้นกระแสน้ำ ให้เกิดอ่างขนาดยักษ์ การทำเช่นนั้นทำให้ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของมวลสาร น้ำหนักของโลกเปลี่ยนไป ทำให้โลกเสียสมดุลในการหมุนรอบตัวเอง และนานวันเข้า แกนของโลกก็เอียง เปลี่ยนไปจากเดิม

ด้วยความจริง อันลึกซึ้งเป็นความจริงแท้ ที่กล่าวมาข้างต้น มนุษย์ควรจะมองเห็นว่า บรรดาต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ลำคลอง สัตว์ ฯลฯ และทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ โดยหน้าที่ของสิ่งเหล่านี้ เขาทั้งหลายได้ทำหน้าที่ของตน ด้วยความรักต่อกัน และกัน ต่อโลกใบนี้อย่างเกื้อกูล ให้ประโยชน์แก่กัน และกัน ต้นไม้ สัตว์ ภูเขา แม่น้ำ ฯลฯ จึงล้วนแล้วมีพลังแห่งความรัก เป็นพลังยึดเหนี่ยวของโลกใบนี้

ย้อนกลับมาพิจารณาตัวมนุษย์ที่เป็นคนมี 2 แขน 2 ขา 1 ศรีษะบ้าง โดยธรรมชาติเช่นกัน มนุษย์ไม่สามารถอยู่คนเดียว โดยไม่อาศัยพึ่งพากันและกัน โดยไม่อาศัยธรรมชาติ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มีอยู่ รวมถึงต้นไม้ สัตว์ต่างๆและทุกสรรพสิ่งได้ แม้แต่ก้อนหิน ดิน ฯลฯ มนุษย์สืบต่อ ขยายชาติพันธุ์ ด้วยความรักมาตลอดเวลา

การมีครอบครัวของมนุษย์ ก็เกิดมาจากความรัก การรวมกลุ่ม ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน เป็นเมือง เป็นชุมชน เป็นประเทศ ก็เกิดจากความรักเป็นสำคัญที่สุด

แต่มนุษย์ก็ไม่รู้จักรัก ที่ถูกต้อง ที่บริสุทธิ์ แม้แต่โลกใบนี้ มนุษย์ก็ยังไม่ปันความรักให้ ตรงกันข้ามกลับทำลายล้าง เริ่มต้นก็เข่นฆ่า ทำลายล้างชีวิตมนุษย์ด้วยกัน ทำลายต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ลำคลอง ทำลายชีวิตสัตว์ ทำลายต้นไม้ ทำลายสิ่งต่าง ๆ เพียงเพื่อจะนำมาซึ่งประโยชน์ส่วนตน

มนุษย์ทั้งหลายบนโลกพากันหลงใหลกับอารมณ์รู้สึก อันเกิดจากกิเลสตัณหา ราคะ แสดงออกทางพฤติกรรมและทางจิตใจ ไปตามอำนาจความโลภ โกรธ หลง ความงมงาย และไม่เคยรู้ว่าอารมณ์อันเป็นขยะที่เกิดขึ้นในจิตใจโดยไม่รู้ตัวเหล่านั้น ได้ผลิตประจุไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบออกสู่โลก สู่อากาศ สู่แกนโลกด้วย ทุกวันนี้มนุษย์พากันแปลกใจว่า บรรยากาศรอบตัวที่ห่อหุ้มโลกไว้ ทำไมมัวซัว ไม่สดใส แช่มชื่น เหมือนฟ้าหลังฝนบ้าง เมื่อมนุษย์แหงนดูท้องฟ้า ก็พากันวิตกว่า ฟ้ากำลังโกรธ กำลังพิโรธ และกำลังลงโทษมนุษย์

ตามศาสตร์แห่งอภิปรัชญาที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ให้คำตอบได้ว่า ที่ท้องฟ้าเป็นเช่นนี้ ก็เพราะอารมณ์ รู้สึกโกรธแค้น ชิงชัง อาฆาต พยาบาท ที่มนุษย์ได้กระทำต่อกัน รวมทั้งได้กระทำต่อสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ด้วยการเข่นฆ่า ทำลายล้างชีวิต สร้างกรรมเวรต่อกันไว้มากมาย ได้จ่ายประจุกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าด้านลบ ขึ้นในบรรยากาศของโลก เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายเหล่านั้น ได้รวมตัวกัน และจ้องจะแก้แค้น เอาคืนมนุษย์ใจบาป หยาบช้าทั้งหลาย

มนุษย์ไม่เคยมีความรู้ ความเข้าใจในสัจธรรม ความจริงที่แท้จริงอีกประการหนึ่งว่า ตัวตนของตนเองนับประกอบด้วยรูปร่าง หน้าตา ที่พ่อแม่ให้กำเนิดมา เป็นมิติทางกายภาพ กับจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานธาตุรู้ ที่มารวมกันเข้ากับก้อนเลือดในครรภ์มารดา เกิดเป็นตัวอ่อนและพัฒนาเป็นทารกในครรภ์ และคลอดมาเป็นมนุษย์ จิตวิญญาณนี้ คือแก่นแท้ ที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน เป็นผู้มีพลังอำนาจ สามารถผลิตประจุกระแสไฟฟ้าแม่เหล็ก ด้านบวก หรือด้านลบออกมาสู่ใจกลางของโลก และบรรยากาศของโลก ได้ทั้ง 2 ทาง

ประจุไฟฟ้าด้านลบ ก็เป็นดังที่กล่าวมา

ส่วนประจุไฟฟ้าด้านบวก ก็เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกมนุษย์ที่เบิกบานแจ่มใส มีความรู้สึกเวทนา สงสาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อดทน อดกลั้น และให้อภัยต่อมนุษย์ ต่อสัตว์ ต่อต้นไม้ และทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ ประจุไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกนี่เอง ที่แทรกซึมผ่านพื้นดิน สู่ใจกลางโลก อันมีแท่งออกซิเจนมหึมา ไปทำปฏิกิริยาทางไฟฟ้ากับแท่งออกซิเจนดังกล่าว เกิดระเบิดแตกตัวขึ้น ทำให้โลกบิดหมุนรอบตัวเอง

หากมนุษย์เข้าใจอีกหน่อย มนุษย์ที่อาศัยบนพื้นดินสองซีกของโลก คือซีกตะวันออก และซีกตะวันตก นั่นก็คือ มนุษย์แต่ละซีกจะทำหน้าที่ให้ประจุแม่เหล็กไฟฟ้าด้านบวกแก่ใจกลางโลก ช่วงเวลา 12 ชั่วโมง ด้านที่เป็นกลางวัน ก็จะผลิตประจุไฟฟ้าด้านบวก ด้านที่เป็นกลางคืนก็หยุดการผลิต เพราะพักผ่อนหลับนอน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน เช่นนี้ตลอดมา

ประจุแม่เหล็กไฟฟ้าด้านบวก ที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ เป็นอารมณ์แห่งความรักเช่นนี้ จึงเป็นสิ่งช่วยโลกใบนี้ ให้มีพลังหมุนรอบตัวเอง พลังเหนี่ยวรั้ง ดาวนพเคราะห์ต่าง ๆ

และนี่แหละ คือคำกล่าวที่ว่า "มนุษยธรรม ค้ำจุนโลก"

มองให้แคบเข้าอีก การที่มนุษย์รัก เมตตากัน ย่อมเป็นพลังยึดเหนี่ยวให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบ สันติสุข แต่มนุษย์ก็ยังเข่นฆ่า ประหัด ประหาร แย่งชิงอำนาจผลประโยชน์กัน จนทำให้โลกใบนี้เสียความสมดุล ขั้นรุนแรง โลกไม่สดสวย งดงาม โลกสกปรก รกรุงรัง เข้าขั้นวิกฤติอย่างที่สุด จนต้องมีการชำระโลก

ประเทศไทยจะไม่ถูกชำระเหมือนประเทศอื่น หรือถูกชำระแต่น้อยที่สุด เสียหายน้อยที่สุด มีทางทำได้ ด้วยการที่คนไทยช่วยกันผลิตอารมณ์ ความรู้สึกด้านบวก ด้วยความรักอันบริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียน ก้าวล่วงผู้ใด รวมทั้งพืช สัตว์ ต้นไม้ และทุกสรรพสิ่ง

เรามาช่วยกัน สร้างความรัก ให้เป็นพลังเหนี่ยวรั้ง ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน แก่คนไทยทั้งชาติ คนทั้งโลก โลกทั้งโลก สุริยจักรวาลทั้งระบบ ให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เถิดครับ!

ประมวล รุจนเสรี
e-mail : pramuanr@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น: