“คนไทยมีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก” ไม่ใช่เป็นประโยคสวยหรู แต่เป็นเรื่องจริง ดังเช่นประสบการณ์การศึกษา และการทำงานของ “ดร. รักไทย บูรพ์ภาค” หนุ่มผู้มีดีกรีปริญญาเอกจาก Texas A&M University และมีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสนใจ กับการทำงานเป็นหัวหน้าวิศวกรแท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เริ่มต้นกับ Texas A&M University ดร.รักไทย เปิดเผยถึงการศึกษาต่อปริญญาโท - เอกด้าน วิศวขุดเจาะน้ำมันที่ Texas A&M University (college station) ว่า “หลังจากจบปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมเคมีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมมาอยู่ที่เมือง college station มลรัฐ Texas โดยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ พร้อมกับเตรียมตัวเรียนต่อปริญญาโทไปด้วย และทางมหาวิทยาลัยได้ตอบรับเข้าเรียนในสาขา Petroleum Engineering ซึ่งสาเหตุที่ผมเลือกสาขานี้ เพราะว่า Texas A&M University (college station) มีชื่อเสียงในแขนงนี้มาก อีกทั้งนักศึกษาที่จบจากสาขานี้ยังมีโอกาสสูงที่จะได้ทำงานในสหรัฐอเมริกา และนับเป็นโชคดีที่ผมได้เป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์ Dr. Hans C. Juvkam-wold (จบปริญญาตรี โท เอก จาก M.I.T-Massachusetts Institute of Technology) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการด้านขุดเจาะน้ำมันของโลก หลังจากจบปริญญาโท ผมจึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาเอก ในตอนที่สอบเข้าปริญญาเอกนั้นต้องผ่านการสอบคัดเลือกกับท่านคณาจารย์ซึ่งมีคณะกรรมการ 5 คน และต้องสอบให้ผ่าน ซึ่งวัตถุประสงค์ของการสอบนี้ ทางคณาจารย์จะดูว่านักเรียนปริญญาเอก มีความสามารถแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้หรือไม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการศึกษาระดับนี้”
|
ด้านบรรยากาศของ Texas A&M University นั้น มีนักเรียนไทยประมาณ 30-40 คนต่อปี โดยมีทั้งนักเรียนทุน ก.พ. และทุนจากกระทรวงต่างๆ “จากประสบการณ์ของผม นักเรียนที่นี่จะสนิทสนมกันมากแบบพี่น้อง อาจเป็นเพราะเป็นเมืองมหาวิทยาลัยด้วย และถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับในหลายๆด้าน โดยเฉพาะด้านวิศวกรรมซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียง และถ้าหากเข้ามาด้วยทุนตัวเองก็ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่แพงนัก อีกทั้งทุนของมหาวิทยาลัยค่อนข้างมาก นั่นหมายความว่า ถ้านักเรียนไม่มีทุนมาเอง อาจจะมีโอกาสหาทุนโดยตรงได้ง่าย เนื่องจากว่าอธิการบดีของมหาวิทยาลัยคนก่อน คือ Dr. Robert Michael Gates ได้เป็นรัฐมนตรีของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา จึงมีทุนด้านทางทหารและวิจัยเพิ่มขึ้นมาก” เมื่อถามถึงความแตกต่างระหว่างการศึกษาในด้านวิศวกรรมของไทยกับต่างประเทศ ดร.รักไทย มองว่า “ส่วนตัว ผมคิดว่าหลักสูตรที่เรียนจากเมืองไทยมานั้นค่อนข้างดีมากอยู่แล้ว จึงอาจจะปรับตัวด้านการเรียนได้ไม่ยาก ถ้าจะมีก็คงเป็นเรื่องภาษา บุคลิกภาพ ความกล้าแสดงออก รวมถึงการทำงานเป็นกลุ่มครับ” “ส่วนด้านชีวิตความเป็นอยู่ในรัฐ Texas นั้น ถือว่าเป็นรัฐที่ค่อนข้างร้อนเหมือนเมืองไทย แต่อากาศจะแห้งกว่า บรรยากาศเมือง เป็นเมืองมหาวิทยาลัย จึงไม่ใช่เมืองใหญ่ แต่ก็มีทุกอย่างครบสะดวกสบาย เหมาะกับการมาเรียนอย่างมาก เรื่องอาหารการกินของที่นี่ ต้องสเต็ก หรือบาร์บีคิวเนื้อ ซึ่งอร่อยและสดมาก นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารให้เลือกมากมาย แม้ว่าการคมนาคมอาจจะไม่สะดวกนัก แต่เพื่อนๆพี่ๆ ที่นี่ต่างก็อบอุ่นและเป็นกันเอง ใครที่มีรถส่วนตัวจะดูแลกันอยู่แล้ว” ดร.รักไทย กล่าว
|
ก้าวสู่หัวหน้าวิศวกรแท่นขุดเจาะน้ำมัน นอกจากนี้ ดร.รักไทย มีโอกาสได้ทำงานเป็นวิศวกรแท่นขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่หาได้ไม่ง่ายนักสำหรับคนไทย โดยหนุ่มไทยคนนี้ เล่าว่า “ระหว่างเรียนปริญญาเอก อาจารย์บอกผมว่า ถ้าจะจบปริญญาเอกด้านขุดเจาะน้ำมันควรมีประสบการณ์ทำงานตรง ถึงจะจบได้ ผมจึงหางานตั้งแต่ระหว่างเรียนเทอมแรก ตอนนั้นจำได้ว่าสัมภาษณ์งานหลายที่มาก ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนสัญชาติอเมริกันด้วย (ผมเกิดที่แอลเอ เนื่องจากตอนนั้นคุณพ่อกับคุณแม่มาเรียนที่อเมริกา) แต่ทั้งภาษา และลักษณะท่าทางไม่ใช่คนอเมริกัน ผมจึงใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อจะพิสูจน์ว่า ตนเองมีความสามารถ และการสื่อสารภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ในที่สุดก็ได้งานเป็นวิศวกรทำงานแท่นขุดเจาะน้ำมัน ที่บริษัท Weatherford International Company ซึ่งอาจจะโชคดีด้วย เนื่องจากว่าคนที่รับผม (Mr. Dean Kaminski) เคยเป็นประธานบริษัท Halliburton (บริษัทขุดเจาะน้ำมันของอเมริกา) ประจำประเทศไทย ตอนนั้นท่านมา Recruit คนเข้าทำงานที่มหาวิทยาลัย Texas A&M และเนื่องจากว่าท่านเคยทำงานกับคนไทยมาก่อน ท่านจึงยอมรับความสามารถของคนไทย ดังนั้นท่านจึงให้โอกาส และรับผมเข้าทำงาน”
|
“ระหว่างเรียนปริญญาเอก ผมทำงานวิศวกรปิโตรเลียมตั้งแต่ระดับ Trainee จนเป็นหัวหน้าวิศวกรขุดเจาะน้ำมันของบริษัท Weatherford International Company การเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าวิศวกรขุดเจาะน้ำมันนั้น ต้องทั้งสอบ licenses รวมไปถึงพิสูจน์ความสามารถให้เห็น ทั้งยังต้องสั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ การเป็นผู้นำคน ต้องทำให้เขาเชื่อใจ และมั่นใจในการตัดสินใจของเราได้ ที่สำคัญธุรกิจน้ำมันเป็นธุรกิจค่อนข้างอันตราย และค่าใช้จ่ายสูง ฉะนั้นการตัดสินใจในแต่ละอย่างต้องรอบคอบ ระยะเวลาออกไปแท่นขุดเจาะน้ำมัน มีตั้งแต่ 1 สัปดาห์ขึ้นไป เคยมีครั้งหนึ่งผมไปแท่นกลางทะเลนานที่สุดถึง 4 เดือน โดยส่วนใหญ่ต้องออกแท่นขุดเจาะน้ำมัน บริเวณเมือง Texas, Louisiana & Oklahoma city รวมไปถึง อ่าว Mexico ตอนทำงานไป ก็ยังเรียนไปด้วย ผมจึงต้องแบ่งเวลาบางส่วนไปเรียน แม้ช่วงนั้นจะได้นอนน้อยมากแต่ก็คุ้มค่าครับ”
|
งานเสี่ยงชีวิตกลางทะเล อย่างไรก็ตาม ดร.รักไทย เผยว่า งานแบบนี้ค่าตอบแทนสูงก็จริง แต่ก็นับว่ามีความเสี่ยงมาก “คนทำต้องไม่กลัวตาย เพราะเสี่ยงตั้งแต่ นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปแท่น และเฮลิคอปเตอร์ก็ตกบ่อยมากที่บริเวณอ่าว Mexico เนื่องจากพายุเข้าบ่อย บางทีต้องรีบหนีจากแท่นกลับฝั่ง ซึ่งงานที่เสี่ยงมากที่สุดครั้งหนึ่ง ผมเคยถูกส่งไปบริเวณ ตอนใต้ของรัฐ Texas ซึ่งมีการลักพาตัวบ่อยครั้ง จึงต้องพกปืนติดตัวไปด้วย เพื่อป้องกันตัว (กฎหมายรัฐ Texas สามารถพกปืนได้) ตอนนั้นผมได้เรียนรู้ประสบการณ์จากคนบนแท่นมากมาย รวมไปถึงซึมซับวัฒนธรรมของคนอเมริกัน ก็เป็นประสบการณ์ที่สนุกดีครับ หลังจากทำงานไปปีครึ่ง ผมลาออกมาเรียนปริญญาเอกให้จบ เมื่อจบแล้วก็มาทำงานกับ บริษัท Schlumberger Co., Ltd (บริษัทขุดเจาะน้ำมันอันดับ 1 ของโลก ซึ่งมีพนักงาน 85,000 คนทั่วโลก) ทำไปปีครึ่ง ก็ได้รับการสนับสนุนให้เป็น หัวหน้าขุดเจาะก๊าซของบริษัท เนื่องจากว่าช่วงนั้นปี 2008 สหรัฐอเมริกาต้องการใช้พลังงานในประเทศมากขึ้น เพื่อลดการนำเข้า ซึ่งพลังงานส่วนใหญ่ 70 - 80% ของประเทศสหรัฐอเมริกา คือ ก๊าซธรรมชาติ โดยในขณะนั้นต้องการเทคโนโลยีการขุดเจาะที่ราคาถูก ซึ่งตรงกับเรื่องที่ผมศึกษาปริญญาเอกพอดี (การขุดเจาะ 3 มิติ) ผมจึงถูกส่งมาประจำที่เมือง เดนเวอร์ มลรัฐ โคโลราโด (บริเวณที่มี ก๊าซธรรมชาติมาก) และงานตรงนี้ท้าทายมากครับ ได้ร่วมกับทีมงานของบริษัทด้วยงบเงิน 15 ล้านเหรียญ หรือ ประมาณ 500 กว่าล้านบาท ซึ่งในทีม ผมทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งเป็น Project ใหญ่ของบริษัทในปีที่แล้ว” ประสบการณ์ 2 ด้าน เหรียญมีสองด้าน ไม่ต่างจากประสบการณ์ชีวิต ที่มีทั้งดีและร้าย ซึ่ง ดร.รักไทย เผยถึงประสบการณ์ชีวิตในอเมริกา ว่า “ผมประทับใจในแนวความคิด และค่านิยมของคนอเมริกัน คือ เขาไม่กีดกันคนที่มีความรู้ความสามารถ แถมยังสนับสนุนให้เด็กรุนใหม่ได้เสนอนวัตกรรมใหม่ๆด้านการทำงาน โดยไม่ได้คำนึงถึงอายุหรือประสบการณ์ในการทำงาน ซึ่งในความคิดผมแล้ว วัฒนธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่ให้โอกาสคนที่มีความสามารถ ตัวอย่าง เช่น ปธน. Obama ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำของประเทศ ซึ่งผมประทับใจในตัวเขา เพราะเคยมีคนเตือนท่านว่า ถ้าท่านขึ้นสมัครประธานาธิบดี ท่านอาจจะโดนยิง เนื่องจากยังมีบางคนไม่ยอมรับเรื่องสีผิว แต่ท่านบอกว่า ถ้าคิดจะทำประโยชน์ให้คนอื่น ต้องไม่กลัวตาย อันนี้โดนใจผมครับ ถ้าคิดจะมาทำงานการเมืองแล้วคุณต้องไม่กลัวตายครับ เพราะถ้าจะทำในสิ่งที่ถูก คุณอาจจะขัดผลประโยชน์จากคนไม่ดี หรืออิทธิพลมืด เขาอาจจะคิดร้ายคุณ ถ้าคุณกลัวตายแล้ว คุณจะทำในสิ่งที่ถูกได้อย่างไรใช่ไหมครับ” อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความประทับใจ แต่ ดร.รักไทย ก็เคยเจอกับประสบการณ์แย่ๆด้วยเช่นกัน “ตอนทำงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมัน ผมเคยเจอคนทำอาหารดูถูกด้วยการถุยน้ำลายใส่อาหารแล้วยื่นให้ ในตอนนั้นผมรู้สึกโกรธมาก และกลายเป็นเรื่องใหญ่บนแท่นในเวลานั้นเลย แต่จากประสบการณ์ทำให้ผมรู้ว่าทุกสังคมมีทั้งคนดี และคนไม่ดี เช่นเดียวกับสังคมอเมริกัน ถ้าคุณมีความรู้ความสามารถพอ เค้าก็จะใจกว้างยอมรับคุณ ส่วนการดูถูกเหยียดหยามก็มีบ้าง แต่เป็นส่วนน้อยครับ”
|
ฝันอยากทำประโยชน์ให้โลก และกลับมาแผ่นดินไทย สุดท้าย ดร.หนุ่มสายเลือดไทยในสหรัฐอเมริกาคนนี้ ฝากบอกข้อคิดแก่ชาวแคมปัส พร้อมทั้งเปิดเผยถึงเจตนารมณ์ของตนเองว่า “ผมอยากให้น้องๆที่จะมาศึกษาต่อ ตั้งเป้าหมายในชีวิตก่อนว่าอยากเป็นอะไร หรืออยากทำอะไร เพราะเป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และความสำเร็จของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ก่อนเดินทางมาอเมริกา ผมได้รับแรงบันดาลใจจาก ดร. ก้องภพ อยู่เย็น (ดร. คนไทยอายุน้อยที่สุดที่ทำงานกับ NASA) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งคุณพ่อของผม ผมเรียนคณะเดียวกับ ดร.ก้องภพ ที่เมืองไทย ก็เห็นท่านเป็นแบบอย่างตั้งแต่เด็ก และท่านก็ทำตามความฝันสำเร็จ” “สำหรับผมแล้วเป้าหมาย คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ซึ่งก็ทำได้ตามเป้าหมายในระดับหนึ่ง แต่ความสำเร็จของผม คือ ปริมาณจำนวนคนที่ผมได้ใช้ความรู้ทำประโยชน์ให้ ดังนั้นในอนาคตถ้ามีโอกาสผมอยากทำงานกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งในทีมรัฐมนตรีประจำกระทรวง นั่นหมายความว่า ผมจะทำประโยชน์ ให้คน 300 ล้านคน หรือจะดีกว่านั้น ถ้าผมได้ทำงานที่ IEA (International Energy Agency) ทบวงพลังงานโลกในฐานะตัวแทนคนอเมริกา ซึ่งนั่นหมายความว่าผมทำประโยชน์ให้คนทั้งโลก หลังจากนั้น 2-3 ปี ก็วางแผนว่าจะกลับเมืองไทยถาวร และนำความรู้ด้านพลังงานที่ได้รับมาใช้และประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ในประเทศไทยสูงที่สุด สุดท้ายผมอยากจะให้ข้อคิดทุกคนตามคำที่คุณพ่อเคยบอกผมตั้งแต่เด็กว่า ... คนเราไม่มีล้มเหลว มีแต่ล้มเลิกต่างหาก”
|
หากชาวแคมปัสคนไหน เคยมีประสบการณ์ใช้ชีวิตในต่างประเทศ ทั้งด้านการศึกษา หรือการฝึกงาน-ทำงาน ทั้งระยะสั้น หรือระยะยาว และต้องการบอกเล่า แบ่งปันประสบการณ์ผ่าน "เรื่องเล่านักศึกษา" เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน ติดต่อขอเล่าเรื่องได้ที่ mgr_campusworld@yahoo.com
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น