วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

คารวะอาจารย์หมอวิทุร


เรียน คุณสามวา สองศอก

พ.ศ.นี้ถ้าเอ่ยถึงมูลนิธิเมาไม่ขับ คงไม่มีใครบอกว่าไม่รู้จัก แต่ถ้าถามถึงผู้อยู่เบื้องหลัง ผู้ที่มีส่วนผลักดันให้เกิดมูลนิธิเมาไม่ขับขึ้นในประเทศไทย น้อยคนนักที่จะรู้ว่านายแพทย์วิทุร แสงสิงแก้ว อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข คือบุคคลสำคัญที่เป็นผู้วางรากฐานให้องค์กรแห่งนี้เจริญเติบโตทำงานรับใช้สังคมมา 14 ปี จวบจนถึงปัจจุบัน

ผมยังจำได้ดีสมัยนายแพทย์วิทุรเป็นอธิบดีกรมการแพทย์ ท่านเป็นผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล โดยเฉพาะประเด็นเรื่องอุบัติเหตุ นายแพทย์วิทุรมองว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมาก แต่หมอในสมัยนั้นไม่สนใจเรื่องนี้เลย

ท่านจึงได้ก่อตั้งสถาบันการแพทย์ด้านอุบัติเหตุและสาธารณภัยขึ้น ซึ่งรวมไปถึงศูนย์นเรนทร เพื่อทำการศึกษาวิจัยข้อมูลและทำงานบูรณาการเชิงรับ ในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ร่วมกับองค์กรภาคเอกชน อย่างมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มูลนิธิร่วมกตัญญู ฯลฯ ที่ทำหน้าที่นี้อยู่แล้วจนเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน และมีการพัฒนาขยายการดำเนินงานขึ้นเรื่อยๆ

จากการดำเนินงานเชิงรับยิ่งพบว่า ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุมีจำนวนมากขึ้น และเมื่อวิเคราะห์ลึกลงไปก็พบว่า สาเหตุประการสำคัญเกิดมาจากการเมาแล้วขับ

เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเมาไม่ขับ แม้ว่ากฎหมายจะมีออกมาแล้ว

ตำรวจขาดเครื่องมือ ขาดการสนับสนุนทั้งทางด้านกำลังคนและงบประมาณ

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น นายแพทย์วิทุรจึงมอบหมายให้ผมไปคิดโครงการเพื่อรณรงค์ลดอุบัติเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมทั้งยังแนะนำให้ด้วยว่าโครงการนี้ต้องทำให้เกิด

ความยั่งยืน โดยให้ประชาชนมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมและมีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของ

พร้อมกันนี้ยังแนะนำให้เชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงของสังคมมาเป็นประธานเพื่อจะทำให้โครงการเป็นที่รู้จักของประชาชนโดยเร็ว ซึ่งบุคคลนายแพทย์วิทุรแนะนำก็คือ คุณดำรง พุฒตาล นักสื่อสารมวลชนชื่อดังของประเทศ และเป็นสมาชิกวุฒิสภารุ่นเดียวกันกับนายแพทย์วิทุร (ส.ว.แต่งตั้งในขณะนั้น)

นับจากนั้นจึงเกิดโครงการรณรงค์เมาไม่ขับ และเกิดชมรมคนรุ่นใหม่ไม่ขับรถเมื่อเมาสุรา ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงสาธารณสุขขึ้น

จากวันนั้นถึงวันนี้ จากชมรมคนรุ่นใหม่ไม่ขับรถเมื่อเมาสุรา ก้าวมาเป็นมูลนิธิเมาไม่ขับในปัจจุบัน และศูนย์นเรนทรก็ได้เติบโตเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ในนามสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ

สิ่งที่นายแพทย์วิทุรได้วางรากฐานไว้เมื่อ 14 ปีที่แล้ว บัดนี้ได้ผลิดอกออกผลยังประโยชน์ให้กับสังคมไทยอย่างใหญ่หลวง

แม้ว่าวันนี้นายแพทย์วิทุร แสงสิงแก้ว จะจากพวกเราไปแล้ว แต่สิ่งที่ท่านได้ทำยังจะคงอยู่ตลอดไป

ผมและกรรมการตลอดจนเจ้าหน้าที่มูลนิธิเมาไม่ขับ ขอให้สัญญาว่าจะรักษาเจตนารมณ์ของ

ท่านไว้อย่างเต็มกำลังความสามารถสืบไป

นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช

ตอบ คุณหมอแท้จริง

ผมก็อยากเชิญชวนแฟนคอลัมน์ถูกทุกข้อยืนไว้อาลัยให้กับนายแพทย์วิทุร แสงสิงแก้ว ที่ทำให้มีมูลนิธิเมาไม่ขับเพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน คุณหมอแท้จริงจะให้ไทยโพสต์ช่วยเรื่องอะไร ก็อย่าได้เกรงใจเลยนะครับ

ผีเน่ากับโลงผุ

เรียน คุณสามวาที่เคารพ

เรื่องผลาญเงินเพราะเห็นว่าไม่ใช่เงินตัวเอง ไม่มีใครสู้ข้าราชการไทย ทั้งข้าราชการ

ประจำและข้าราชการเมือง ด้วยคนเหล่านี้ถือว่างานที่ทำเป็นเพียงอาชีพเพื่อหาเงินเลี้ยงตัว เอาตำแหน่งเอายศเพื่อเป็นเครื่องหารายได้เสริม

ไม่ได้ทำงานเพื่อชาติเหมือนข้าราชการรุ่นเก่าๆ ที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี รักชื่อเสียงเกียรติภูมิของวงศ์ตระกูล และถือว่าทำงานต่างพระเนตรพระกรรณพระมหากษัตริย์ เป็นข้าราชการในพระเจ้าแผ่นดิน ดูแลทุกข์สุขประชาชน

แม้เป็นนายทหารก็ซื่อสัตย์รักเกียรติยศแห่งตน รักชาติบ้านเมืองอย่างจริงใจ

พันเอกพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันทุมเสน) มันสมองที่แท้จริงของคณะราษฎร แม้จะยึดพระราชอำนาจจาก ร.7 ก็มิได้เกิดจากความเกลียดชังองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เพราะทนพฤติกรรมของข้าราชการเลวๆ ที่เป็นพวกนักเรียนนอกไม่ไหว

เลวอย่างไรใครเคยดูละคอนเรื่องปริศนา ที่แต่งโดย ว.ณ ประมวลมารค ก็คงเห็นการดำเนินชีวิตหรูหราขัดแย้งโดยสิ้นเชิง กับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ตกต่ำยากไร้แร้นแค้น

พระยาทรงสุรเดชกับพวก อันได้แก่ พระประศาสน์พิทยายุทธ พระยาพหลพลพยุหเสนา หลวงพิบูลสงคราม เป็นต้น ยึดอำนาจได้แล้วก็ยังมีการให้เกียรติ และไม่ทำการแข็งกร้าวจนเกินไป จึงได้นายกรัฐมนตรีคนแรกของสยาม คือ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)

ต่อมาพระยาทรงฯ ผู้ทำตัวเหมือนพลเอกสนธิ (บัง) ก็ต้องอดอยากอยู่เวียดนาม ก่อนกลับมาทำขนมขายที่เขมรแล้วถูกวางยาพิษตาย ไม่เหลือทรัพย์สินที่ควรกอบโกยได้ให้เป็นมรดกของลูกหลาน

หลวงพิบูลสงคราม หรือจอมพล ป. (แปลก ขีตะสังคะ) ที่ขึ้นมามีอำนาจภายหลัง จบลิเกการเมืองยุคที่ประชาชนยังเข้าใจว่า รัฐธรรมนูญคือลูกชายพระยาพหลฯ เมื่อถูกลูกน้องคือจอมพลผ้าขะม้าแดงยึดอำนาจ ก็ซิ่งรถซีตรองธันเดอร์เบิร์ดสีไข่ไก่ลี้ภัยไปลงเรือที่ตราดเข้าเขมรต่อไป อยู่ญี่ปุ่นจนอนิจกรรมรายนี้ก็จบอย่างจนๆ

นายทหาร 2 คนนี้เป็นตัวอย่างของทหารรักชาติ เป็นทหารที่เข้าสู่อำนาจทางการเมืองแล้วไม่ได้ทำธุรกิจ

แต่หลังจากสิ้นจอมพล ป. ที่ได้ชื่อว่าจอมเผด็จการไปแล้ว การพึ่งพาอาศัยระหว่างอำนาจของคนมีปืน กับเงินของนายทุนก็ดูเหมือนจะลงตัว และเป็นสูตรสำเร็จของความร่ำรวยแบบวินวินมาทุกยุคทุกสมัยตราบปัจจุบัน

เป็นนักธุรกิจต้องมีมือปืนอาชีพคอยคุ้มกัน อย่าทำตัวเป็นเถ้าแก่เอง เป็นมือปืนเองอย่างทักษิณกินรวบไม่แบ่ง เป็นนกอินทรีไม่มีขน บินไม่ได้ไกล

สภาพสังคมอย่างนี้มันบั่นทอนจิตใจของผู้รับราชการที่เคยยึดมั่นอุดมการณ์ ในเมื่อมีอำนาจ

แล้วไม่มีเงินก็ไม่เกิดบารมี ซ้ำร้ายอำนาจที่มีอาจหลุดหายไป ความอยู่รอดของข้าราชการไทยคือ ต้องใช้อำนาจหาเงิน เอาเงินไว้สร้างบารมี เอาบารมีไว้ค้ำจุนอำนาจให้อยู่นานๆ

ข้าราชการไทยต้องไม่รักเกียรติ ไม่รักศักดิ์ศรี แต่รักศักดิ์สยาม

เพราะรักเกียรติต้องติดคุก รักศักดิ์ศรีได้แค่ศรีอักษร สู้รักศักดิ์สยามดีกว่า ได้ตำแหน่ง! ได้ทั้งบารมี ยอมเสียเงินเอาไว้ดีดยี่ต๊อกแล้วยังไงก็คุ้ม ถ้าไม่โดนปฏิวัติเสียก่อน ส่วนใหญ่ก็รักษาเนื้อรักษาตัว ปะฉะดะแบบใบตองแห้งเดี๋ยวปากท้องแห้ง

ข้าราชการไทยตั้งแต่รุ่นจิ๋วถึงรุ่นใหญ่ จึงไม่มีลักษณะของผู้ทุ่มเทให้กับงาน อาจมีบ้างผมก็ขอคารวะ (ส่วนมากเป็นชั้นผู้น้อย) ถึงยังไงก็ต้องทำตัวเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นหมามีปลอกคอ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนจับแลกกะละมัง หุบปากไว้แหละดีเดี๋ยวนายให้ทิป

สมองข้าราชการไทยจึงเล็กมาก เล็กจนต่ำกว่ามาตรฐานคนทั่วไป เพราะไม่ต้องใช้ความคิด ทำตัวเป็นลูกล้างผลาญ ซื้ออะไรก็แพงไปหมดทุกอย่าง

ยิ่งมีอำนาจมากก็ยิ่งโง่ โง่คนเดียวไม่พอยังบังคับให้ลูกน้องโง่ โง่แล้วประเทศชาติเสียเงินเสียประโยชน์

ผมยอมรับสารภาพว่า เคยเลี้ยงไวน์นายอำเภอ โดยเอามูตอง กาเดท์ (Mouton Cadet) ขวดละสองร้อยกว่าให้กิน ท่านบอกว่าเยี่ยมมาก คิดว่าเป็นมูตอง รอสไชลด์ ขวดละสองพันแปด เสธ.หนั่นหัวเราะกลิ้งแน่ เหลิมด้วย

ผมเห็นใจข้าราชการไทยจริงๆ ครับ เพราะระบบบ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ จะโทษนักการเมืองอย่างเดียวไม่ได้ นักการเมืองเป็นผีเน่า ข้าราชการก็คือโลงผุ และทั้งหมดทั้งหลายคนบงการคือขุนนางกับนายทุน+ขุนศึก

ขุนนาง+นายทุน+ขุนศึกคือผู้กุมอำนาจประเทศไทย ซึ่งในอดีตใกล้ๆ ก็คือยุคพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระองค์ต้องอึดอัดพระทัยกับความใหญ่คับแผ่นดินของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ จนไม่อาจทรงตัดสินพระทัยชัดๆ ว่าจะให้กรมขุนพินิตประชานารถ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นสืบราชสมบัติด้วยพระองค์เองได้!!!

คนไทยโปรดพยายามเรียนรู้เถิดว่า ผู้มีพระคุณและคุณูปการต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง และควรพินอบพิเทา ได้แก่

1.คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี และเครือญาติ

2.คุณเฉลียว อยู่วิทยา และเครือญาติ

3.คุณธนินทร์ เจียรวนนท์ และเครือญาติ

4.คุณชาตรี โสภณพนิช และเครือญาติ

5.คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม และเครือญาติ

6.คุณสุรางค์ เปรมปรีดิ์ และเครือญาติ

ท่านอื่นขออภัยที่มิได้เอ่ยนาม ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

ศรีธัญญา ณ สวนปรุง

ตอบ คุณศรีธัญญา

ขอบคุณครับที่ไม่ทอดทิ้งกัน หมั่นเขียนมาอีกนะครับเพื่อให้คอลัมน์นี้มีรสชาติแบบอูมามิ

สามวา สองศอก

ไม่มีความคิดเห็น: