ตามที่ได้มีการพบปะระหว่างฝ่ายรัฐบาลและแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง 2 วันที่ผ่านมานี้ (28-29 มี.ค.53) เพื่อเป็นการสนับสนุนและเพื่อให้รัฐบาลนำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ ผู้เขียนมีความเห็นที่ใคร่ขอเสนอให้ท่านนายกฯ ได้นำไปประกอบการพิจารณา การที่นายกรัฐมนตรียอมพูดจากับแกนนำคนเสื้อแดงนั้น แม้ในระยะแรกอาจช่วยลดอุณหภูมิความตึงเครียดลงได้ระดับหนึ่ง แต่ในระยะยาว หากมีการพูดคุยกันต่อไปในลักษณะเช่นนี้ กลับจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีต่อตัวท่านนายกเองและต่อรัฐบาลด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ 1) การที่แกนนำคนเสื้อแดงรับเข้ามาพูดจากับฝ่ายรัฐบาลนั้น เป็นการมาที่มีวาระชัดเจนอยู่แล้ว (มีโพยและคำสั่งจากทักษิณ) หาได้มาเพื่อจะแลกเปลี่ยนทัศนะในทางสร้างสรรค์เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างจริงใจตามที่นายกคาดหวังไว้ไม่ 2) การเปิดให้มีการพูดจาในลักษณะดังกล่าว แม้จะมีผลดีในระยะแรก เพราะเป็นการช่วยลดอุณหภูมิความร้อนทางการเมือง แต่ก็ต้องถือว่าเป็นการรับรองความชอบธรรมของกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น และนี่เป็นสิ่งที่คนเสื้อแดงโหยหาอยากได้มานานแล้ว 3) แกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดงเพียงแต่ต้องการมาอภิปรายเล่นโวหารกับนายกเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะมาพูดคุยกันด้วยเหตุผล 4) นายกฯ ไม่ควรลงมาพูดคุยเอง แต่ควรมอบหมายให้โฆษกส่วนตัวและสมาชิกพรรคที่ถนัดในการโต้โวหารมาดวลฝีปากกับสามเกลอนี้มากกว่า 5) นายกฯ ลืมไปว่าแกนนำคนเสื้อแดงไม่ได้ต้องการมาพูดคุย แต่ต้องการมาส่งสารและส่งสัญญานให้บรรดาสาวกทั่วประเทศ ด้วยการทำทีเป็นอบรมสาธยายให้นายกฯ ฟัง ด้วยวาทะที่เป็นเท็จ พวกเขารู้ดีว่านายกฯ สุภาพเกินกว่าที่จะลงมาทะเลาะโต้เถียงและประคารมผ่านการพูดความเท็จเหมือนพวกเขา 6) นายกฯ กำลังถูกเอาผ้าผูกตาให้เดินตกลงไปในหลุมพรางที่พวกเสื้อแดงขุดเอาไว้สำหรับนายกฯ โดยเฉพาะ หากยังมีการพูดคุยกับพวกนั้นในลักษณะเช่นนี้อีก ท้ายที่สุดแล้วก็จะเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมือง 7) หนทางที่ดีที่สุดที่นายกฯ จะทำได้ในขณะนี้คือต้องสื่อสารและอธิบายปัญหาให้คนไทยทั้ง 65 ล้านคนฟังโดยตรง ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง (รวมการเฉพาะกิจ) โดยจำเป็นที่จะต้องอธิบายเกี่ยวกับนโยบายและท่าทีของรัฐบาลที่มีต่อสภาพวิกฤติทางการเมืองร้ายแรงที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างชัดเจน หนักแน่นและจริงจัง (แต่น่าเสียดายที่นายกฯ ยังไม่ได้ทำเช่นนั้น) เพราะการพูดจากับเพื่อนร่วมชาติทุกคนโดยตรง จะมีความสำคัญ และมีน้ำหนักมากกว่าการอธิบายท่าทีของรัฐบาลทางอ้อม ผ่านทางการพูดคุยกับแกนนำคนเสื้อแดง การพูดคุยกับแกนนำคนเสื้อแดงสองยกที่ผ่านมา แม้จะช่วยลดความตึงเครียดและอุณหภูมิทางการเมืองได้ในระดับหนึ่ง แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว หากไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง การพูดคุยที่ดำเนินไปพร้อมกับระเบิดที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่า ความรุนแรงนั้นจะลดลงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการบังคับใช้กฎหมายและการข่าวของฝ่ายความมั่นคงต้องมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ อนึ่ง การพูดคุยระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น หากไม่สามารถนำไปสู่การ “เจรจา” ได้ ก็จะถูกประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมองว่าทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายคนเสื้อแดงมิได้มีเป้าประสงค์ที่จะหาทางยุติวิกฤติทางการเมืองอย่างจริงจัง แต่กลับมุ่งสร้างภาพ หาเสียง สะสมแต้ม อันเป็นการเล่นการเมืองแบบเดิมๆ และท้ายที่สุด ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของเกมการเมืองแบบนี้ก็คือประชาชนนั่นเอง ประชาชนจำเป็นที่จะต้องติดตามพฤติกรรมของทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายเสื้อแดงในการพูดคุยครั้งต่อๆไป หากไม่ประสงค์ที่จะตกเป็นเหยื่อ ก็จำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องติดตามข่าวสารของทั้งสองด้านอย่างใกล้ชิด โดยตระหนักอยู่เสมอว่า ในทางการเมืองนั้น สิ่งที่เรียกว่า “ความคลุมเครือ” (vagueness) คืออาวุธสำคัญที่สุดที่นักการเมืองจะนำมาใช้เพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ 8) จำเป็นที่จะต้องตระหนักว่า ในทางการเมืองนั้น การสร้างภาพลักษณ์ เป็นเรื่องที่ฝ่ายการเมืองให้ความสำคัญเป็นพิเศษ 9) หากวิเคราะห์กันถึงที่สุดแล้ว การที่รัฐบาลและท่านนายกฯ อภิสิทธิ์จะนำพาประเทศให้พ้นวิกฤติอันเลวร้ายไปได้นั้น จำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า รัฐบาลไม่ได้เป็นรัฐบาลที่อยู่ในตำแหน่ง (government in office) เท่านั้น แต่เป็นรัฐบาลที่อยู่ในอำนาจ (government in power) ด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ รัฐบาลมีอำนาจอันชอบธรรมภายใต้รัฐธรรมนูญและต้องรู้จักใช้อำนาจอันชอบธรรมดังกล่าวด้วยการบังคบใช้กฎหมายอย่างจริงจัง 10) รัฐบาลต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ มุสโสลินีเข้าสู่อำนาจโดยผ่านการเลือกตั้งและอิทธิพลก่อความรุนแรงของกลุ่มคนเสื้อดำ ในขณะที่ฮิตเลอร์เองก็เข้าสู่อำนาจโดยผ่านทางการเลือกตั้งและอิทธิพลก่อความรุนแรงของกลุ่มคนเสื้อน้ำตาลด้วยเช่นกัน อีกทั้งปฏิกิริยาท่าทีของบรรดาสถาบันต่างๆ ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนบรรดาพรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ทั้งในอิตาลีและเยอรมันที่มีต่อฝ่ายฟาสซิสต์และฝ่ายนาซี (ก่อนหน้าที่มุสโสลินีและฮิตเลอร์จะก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ในอิตาลีและเยอรมัน) ล้วนเป็นปฏิกิริยาท่าทีที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดและพฤติกรรมการดำเนินเกมการเมืองแบบเก่า ๆ นั่นก็คือ การคิดอยู่ในตำแหน่งให้นานที่สุด ด้วยการนำเอาเรื่องของผลประโยชน์และความอยู่รอดทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของพรรคและพวกมาเป็นข้อพิจารณามากกว่าเรื่องของอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความอยู่รอดของระบอบประชาธิปไตย เสรีภาพและความมั่นคงของประเทศชาติ จึงได้เชื้อเชิญให้พรรคฟาสซิสต์และพรรคนาซีเข้ามาร่วมอยู่ในรัฐบาลผสมของอิตาลีและเยอรมัน เพราะเชื่อ (อย่างผิดมหันต์) ว่าระบอบฟาสซิสต์และนาซีมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยเหมือนกัน และจะทำหน้าที่ช่วยปราบปรามฝ่ายคอมมิวนิสต์ให้ฝ่ายเสรีนิยม ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายชาตินิยมได้ ตลอดจนจะช่วยปกปักษ์รักษาระบอบประชาธิปไตยในอิตาลีและในเยอรมันไว้ได้อย่างมั่นคง จึงกล่าวได้ว่า ความอ่อนแอ ความไร้ประสิทธิภาพและไร้ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ต่อระบอบประชาธิปไตยของบรรดาพรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ทั้งในอิตาลีและในเยอรมัน ล้วนเป็นผลโดยตรง นำไปสู่การทำลายประชาธิปไตย และทำให้ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์และระบอบเผด็จการนาซีขึ้นมามีอำนาจผูกขาดอย่างเบ็ดเสร็จได้ในอิตาลีและเยอรมัน 11) ฉันใดก็ฉันนั้น ระบอบประชานิยมมีความเหมือนกับระบอบเผด็จการฟาสซิสต์และนาซีใน 3 ประเด็นสำคัญ กล่าวคือ เช่นเดียวกับเผด็จการฟาสซิสต์และนาซี ระบอบประชานิยมเป็นระบอบการเมืองที่ต่อต้านระบบรัฐสภา (Anti-Parliamentarism) และเช่นเดียวกับเผด็จการฟาสซิสต์และนาซี ระบอบประชานิยม ยึดมั่นในลัทธิบูชาผู้นำ มองพลเมืองว่าเป็นสาวก ไม่ใช่เป็นเสรีชน และท้ายสุดไม่ว่าจะเป็นเผด็จการฟาสซิสต์หรือนาซี หรือประชานิยม ทั้งสามระบบเผด็จการล้วนมีนโยบายแบ่งแยกสังคม-การเมือง ออกเป็น 2 พวกอย่างชัดเจนเสมอ กล่าวคือ ถ้าไม่เป็นมิตรก็ต้องเป็นศัตรู และทั้งระบอบฟาสซิสต์ นาซีและประชานิยมต่างอาศัยการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเพื่อเข้าสู่อำนาจและใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อทำลายประชาธิปไตย นำไปสู่การสถาปนาระบอบเผด็จการของเสียงข้างมาก รัฐบาลของท่านนายกฯ อภิสิทธิ์อย่าได้ชะล่าใจในข้อเท็จจริงและความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ดังกล่าวมานี้
| |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น