วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

พระเจ้าล้านตื้อในแม่โขง


เรียน คุณสามวา สองศอก
ผมทิ้งปุจฉาเรื่อง "พยัญชนะไทยที่หายไป" (สองตัว) ไว้ในคอลัมน์ "ถูกทุกข้อ" เป็นเวลาเดือนเศษ และรอฟังวิสัชนาจากบรรดาท่านผู้รู้ที่ใช้คอลัมน์ "ถูกทุกข้อ" มาเสวนากันบ่อยๆ
แต่รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ ยังไม่เห็นผู้ใดได้วิสัชนามาให้รู้กันบ้างเลย (ผมขออนุญาตใช้คำว่า "ปุจฉา-วิสัชนา" ซึ่งเป็นคำที่ใช้กับพระภิกษุสงฆ์ เพื่อให้เกิดความขลังขึ้นมาบ้าง แม้เป็นการอาจเอื้อมก็จำต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยอย่างยิ่ง)
พอเห็นภาพของ "คนไทยใส่เสื้อแดง" (ฤาจะเป็นไทยแดง) ยกขบวนมุ่งเข้ามานั่งข้างถนนในเมืองหลวงตั้งวงด่ารัฐบาน (ขออนุญาตใช้คำนี้ แม้จะผิดอักขระไปบ้างก็ตามทีเถอะ) เหตุที่รัฐบาลกลายเป็นรัฐบาน ก็เพราะถูกขุดโคตรด่ากันวันละ 24 ชั่วโมง ผมจึงคิดว่าคงบานไปเยอะแล้ว
ได้เห็นภาพอย่างนั้นแล้วก็ปลงว่า เรื่องวัฒนธรรมประเพณีคงจะสลายหายสูญไปจากจิตใจของผู้คนในบ้านเมืองหมดแล้ว เพราะได้ฟังแต่เสียงของคำไพร่สถุลทุกวัน และเรื่องที่ผมตั้งหัวข้อเอาไว้เสวนากัน ก็คงต้องพับไปโดยปริยาย
เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมจะขอเล่าเรื่องที่อาจจะยังสาระประโยชน์สำหรับผู้มีศีลธรรมในใจไม่สนใจการเมืองได้รับรู้กันเป็นเครื่องประดับความรู้ ทำนองแลกเปลี่ยนทัศนคติกันสักเรื่องสองเรื่อง
ที่ผมหายไปหนึ่งเดือนเต็มๆ ผมใช้เวลาว่างหนีร้อนและฝนกรุงเทพฯ ไปที่เมืองเชียงแสนมาครับ เมืองเชียงแสนนี้เป็นเมืองเก่าแก่อายุนับพันปีเมืองหนึ่งในแคว้นล้านนา ที่พญาแสนภูแห่งราชวงศ์เม็งรายเป็นผู้สร้างไว้แต่อดีต
ปัจจุบันนี้เป็นอำเภอเชียงแสน ขึ้นกับจังหวัดเชียงราย เป็นเมืองที่มีเขตเมืองต่อกันกับบ้านต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพียงมีแม่น้ำโขงกั้น (ลาวเรียกว่าแม่น้ำของ ในตำนานชินมาลีปกรณ์เรียกขรนที)
ผมไปเชียงแสนเพราะได้ข่าวจากเพื่อนที่นั่นส่งข่าวมาว่าน้ำโขงหน้าเมืองเชียงแสนกำลัง
แห้งสุดๆ ขนาดหาดขึ้นเต็มท้องน้ำ เป็นฝั่งลาวยื่นมาห่างฝั่งไทยไม่ถึง 100 เมตร (บางช่วงแห้งจนเดินข้ามแม่น้ำได้)
ที่สำคัญเพื่อนเล่าให้ฟังว่ามีซากพระเจดีย์และแนวกำแพงเมืองเดิมโผล่ขึ้นมาให้เห็นชัดกว่าทุกปี เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนหลังเท้าความสักหน่อยว่าเมืองเชียงแสนเดิมสมัยพญาแสนภูนั้น ถูกแม่น้ำโขงพัดทำลายลงในท้องน้ำ เมืองทั้งเมืองรวมทั้งวัด 10 วัด ทลายลงไปในแม่น้ำโขง (ด้านฝั่งไทย) ทั้งหมด
ที่เมืองเชียงแสนนี้มีพระพุทธรูปประจำเมืองสูง 15 เมตร หน้าตัก 10 เมตร เป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ น้ำหนัก 600 ตัน เดิมอยู่บนดอนหน้าเมืองเรียกว่าแหลมพระแท่น ก่อนที่จะทลายลงเกาะนั้นเรียกว่าเกาะดอนแท่น คนสูญหายล้มตายไปร่วม 20,000 คน
พระพุทธรูปองค์นี้ประชาชนขนานนามว่า "พระเจ้าล้านตื้อ" แต่พระนามจริงขององค์พระคือ "พระเจ้าทองทิพ" ล้มจมลงในแม่น้ำโขงสมัยต้นรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มีคนในตระกูล "เชื้อเจ็ดตน" ที่อพยพมาจากเมืองเชียงใหม่ ซึ่งต้นตระกูลเป็นลูกหลานของพระเจ้ากาวิละ และเป็นผู้สืบวงศ์มาจากพญาเม็งรายผู้สร้างเมืองเชียงใหม่
และเป็นผู้สร้างพระเจ้าทองทิพ มาตั้งรกรากอยู่ในเมืองเชียงแสนนับร้อยปี ได้เพียรพยายามที่จะนำเอาพระเจ้าล้านตื้อองค์นี้ขึ้นมาจากแม่น้ำโขงให้จงได้ แต่ไม่สำเร็จ หลังจากพากเพียรอยู่ถึงสามครั้งสามครา
มาในปี พ.ศ.2552 ได้กระทำพิธีใหญ่ ร้องขอต่อดวงวิญญาณแห่งภูติแม่น้ำโขง ปรากฏว่าได้ผลสำเร็จจนถึงขั้นทราบที่สถิตขององค์พระเจ้าล้านตื้อในแม่น้ำโขง โดยจมอยู่ใต้พื้นดินที่เกาะทรายกลางแม่น้ำโขงที่แห้งผาก ลึกลงไปในดินประมาณ 15 เมตร ผมได้ทราบว่าชาวเชียงแสนแบ่งเป็นสองพวก พวกหนึ่งไม่เชื่อว่ามี ว่าเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานแบบนิทานสืบทอดกันมา แต่อีกพวกหนึ่งเถียงเอาหัวชนฝาบอกว่ามีแน่ และต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามี เพราะกรมทรัพยากรธรณีเอาเครื่องสแกนมาตรวจค้นดูแล้ว รับว่ามีวัตถุแปลกปลอมขนาด
ใหญ่มากจมอยู่ใต้พื้นดินบนเกาะทราย (เดิมเป็นดินแดนไทยบัดนี้กลายเป็นดินแดนลาว เพราะแผ่นดินฝั่งไทยพังทุกปี แผ่นดินฝั่งลาวก็ยื่นเข้ามาแทน ในสนธิสัญญาที่ทำไว้สมัยฝรั่งเศสเรืองอำนาจที่ตรงนั้นตกอยู่ในเขตลาวไปแล้ว) ไทยเลยยังต้องตั้งหลักคิด แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ยังคงยืนยันจะทำต่อไป
เพื่อนที่เชียงแสนพาผมลงเรือหางยาวข้ามฟากไปดูซากพระเจดีย์และรากกำแพงที่ปรากฏ
เขาบอกว่า ซากเจดีย์นี้เป็นเจดีย์วัดทองเกิดที่สร้างภายหลังวัดทองทิพ ที่สถิตพระเจ้าล้านตื้อห่างกันไม่ถึง 100 เมตร
ผมเห็นซากอิฐเจดีย์และแนวกำแพงแล้ว ก็เกิดความมั่นใจไปกับชาวเชียงแสนที่ตั้งใจจะเอาพระเจ้าล้านตื้อขึ้นมาให้ได้ ผมก็เลยยุว่าถ้าจะทำการขุดค้นหาก็เร่งทำเสียตอนหน้าแล้งๆ นี่
แหละ เอารถแบ็กโฮสักสองสามคันลุยขุดสามวันก็คงเห็น (ถ้ามีอยู่ตรงที่ว่านี่จริง)
เพื่อนเล่าว่าชาวเชียงแสน (ฝ่ายเชื่อ) กำลังรอนายอำเภอคนใหม่กลับจากไปอบรมนักปกครองอยู่ที่ธัญบุรี ปทุมธานี อีก 3 เดือนจะกลับ ถ้ากลับมาเมื่อไหร่ก็จะเดินเครื่อง ข้ามไปเจรจากับทางฝ่ายลาวโดยทันที ผมได้ยินดังนั้นก็พลอยดีใจไปกับพวกเขาด้วย
ถ้าเอาขึ้นมาได้จริง ไม่ต้องเอาไปตั้งฝั่งไหนละครับ ผมบอกกับเพื่อนว่าบอกท่านนายอำเภอว่า ขุดได้ที่ตรงไหนก็ตั้งเอาไว้ตรงนั้น ทำแท่นกลางแม่น้ำโขงเลยก็ยังได้ จะได้เป็นของรวมไทย-ลาว ชาวพุทธศาสนิกชนไม่ต้องทะเลาะกัน ช่วยกันรักษาเอาไว้ให้ลูกหลานไทย-ลาวได้กราบไหว้
ผมมีภาพถ่ายฝากมาให้ดูด้วยครับ ไปเชียงแสนอากาศกำลังสบายไม่ร้อนไม่หนาว กำลังพอดี ตอนเย็นไปนั่งกินปลาแม่น้ำโขงย่างเกลือ ส้มตำ ต้มแซ่บ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง แซ่บหลาย วันว่างคืนว่างลองลุกจากเก้าอี้ในกอง บก.ออกไปสูดอากาศริมโขงอย่างผมดูบ้าง ก็จะสบายใจหลายเด้อครับ
ด้วยความนับถือ
นายปราด กองขยะ
ตอบ คุณปราด
ถ้าพวกเสื้อแดงยังยึดคนกรุงเทพฯ เป็นตัวประกันอย่างนี้ บางทีผมอาจจะหลบไปนั่งริมโขงกัน ปลาย่างเกลือแกล้มกับส้มตำไก่ย่างก็ได้
อยากหยุดยาวเมาแล้วขับ
เรียน คุณสามวา สองศอก
เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ เป็นเทศกาลที่มีวันหยุดยาวติดต่อกันมากที่สุด คือวันที่ 13-18 เมษายน 2553 รวม 6 วัน แต่จากการคาดการณ์ของมูลนิธิเมาไม่ขับเชื่อว่าประชาชนจะเริ่มหยุดและมีการเดินทางกันตั้งแต่วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2553 เป็นต้นไป
แม้ว่าวันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2553 รัฐบาลไม่ได้ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ แต่เชื่อว่าประชาชนจะหยุดกันเองเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง จึงทำให้วันหยุดในเทศกาลสงกรานต์ปีนี้จะยาวนานถึง 10 วัน ถือว่าเป็นช่วงวันหยุดที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์
สิ่งที่มูลนิธิเมาไม่ขับเป็นห่วง ก็คือสถิติอุบัติเหตุอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ เนื่องจากมีวันหยุดต่อเนื่องถึง 6 วัน ประกอบกับการมีเฉลิมฉลองสงกรานต์ด้วยการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และขับขี่รถจักรยานยนต์เล่นน้ำควบคู่ไปด้วย
โดยสถิติอุบัติเหตุเทศกาลสงกรานต์เมื่อปี 2552 พบว่ามีผู้ที่มีวันหยุดพักผ่อนยาวแบบถาวร หรือจากผู้เสียชีวิต 373 คน ผู้ที่หยุดยาวกว่าคนอื่นๆ หรือผู้บาดเจ็บ 4,332 คน ร้อยละ 81.90 เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์
สาเหตุหลัก ได้แก่ เมาแล้วขับ ร้อยละ 40.66 ขับรถเร็ว ร้อยละ 19.69 ขับรถตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ 10.96 ทั้งนี้ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่อายุต่ำกว่า 25 ปี ร้อยละ 43 โดยแยกเป็นกลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 29.22 และอายุระหว่าง 20-25 ปี ร้อยละ 13.90 จะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเทศกาลสงกรานต์เมื่อปี 2552 จัดเป็นกลุ่มวัยรุ่นมากที่สุด
สงกรานต์ปีนี้หลายคนคงดีใจที่จะได้หยุดยาวเพื่อจะได้มีโอกาสไปทำบุญใส่บาตร รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ ท่องเที่ยวอย่างมีความสุข และสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมที่ดี
แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่า จะมีอีกหลายคนที่อาจจะมีวันหยุดยาวมากกว่าคนอื่น หรือมีวันหยุดที่ยาวแบบถาวรสาเหตุเพราะการเมาแล้วขับ มูลนิธิเมาไม่ขับไม่อยากให้มีใครต้องหยุดยาวตลอดไป จึงขอวอนว่าถ้าไม่อยากหยุดยาววว...ต้องเมาไม่ขับ
หมายเหตุ วันหยุดที่มีช่วงต่อเนื่องมากที่สุดในประเทศไทยได้แก่วันสงกรานต์ กล่าวคือจะมีวันหยุดติดต่อกัน 3 วัน ได้แก่ 13, 14, 15 เมษายน ซึ่งถ้าในปีไหนตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์ก็จะมีการชดเชยวันหยุดติดต่อไปอีก 2 วัน รวมสูงสุดไม่เกิน 5 วัน
แต่ในวันหยุดสงกรานต์ปีนี้วันที่ 13 ตรงกับวันอังคาร วันที่ 14 ตรงกับวันพุธและวันที่ 15 ตรงกับวันพฤหัสฯ ซึ่งจะคั่นวันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2553 ไปอีกหนึ่งวัน ดังนั้นรัฐบาลจึงประกาศให้วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2553 เป็นวันหยุดราชการ จึงทำให้เทศกาลสงกรานต์ปี้นี้จะมีวันหยุดติดต่อกันยาวถึง 6 วัน 13-18 เมษายน 2553 ถือเป็นการหยุดยาวต่อเนื่องนานที่สุดในประวัติศาสตร์
นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช
เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ
ตอบ คุณหมอแท้จริง
ใครอยากหยุดยาวก็ต้องทำตามที่คุณหมอแท้จริงแนะนำ คือก่อนจะขับขี่ยานพาหนะไปไหนมาไหน ต้องเติมแอลกอฮอล์เข้าไปในสายเลือดเสียก่อน รับรองว่าได้หยุดยาวสมดังที่ตั้งใจ.
สามวา สองศอก

ไม่มีความคิดเห็น: