วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

๑๐๐ ปี ป.อินทรปาลิต : นักเขียนอมตะมหัศจรรย์ของไทย (ตอนที่ 1)
โดย พระบาท นามเมือง 8 เมษายน 2553 10:17 น.
ในช่วงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่เพิ่งผ่านไปนี้ ผมไปฟังการอภิปรายกับเขาด้วย เพราะเป็นแฟนพันธ์แท้ของป.อินทรปาลิต มีคนพูดหลายคน ผมจดเอาไว้บ้าง เท่าที่จับความมีคนหนึ่งน่าสนใจ

ขอถ่ายทอดมาให้ฟังนักอ่านท่านนี้เป็นคนรุ่นหลัง เรียกตัวเองว่าเป็นคนรุ่น Post ป.อินทรปาลิต” คือเข้าใจว่าแกเกิดหลังการอสัญกรรมของ ป.อินทรปาลิต หรือเมื่อ ป.อินทรปาลิต ลับโลกไปได้เจ็ดปี

ครับเรื่องราวที่ผมฟังมีว่า ผู้พูดกล่าวไว้ว่า สิ่งที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้งานของ ป.อินทรปาลิตอ่านแล้วสนุกและตลกแบบไม่จำกัดกาลเวลาก็เพราะ โดยส่วนตัวผู้พูดเชื่อว่าเป็นเพราะมันมี “ลมหายใจ”แห่งกาลเวลาที่ต่อเนื่อง ที่อยู่ในงานเขียน

และอยู่ยงคงกะพันมาจนถึงยุคนี้ไม่เคยล้าสมัยหรือเชยแบบลุงเชยประเด็นนี้แน่นอนที่สุด ผมสามารถอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้

ผู้พูดกล่าวว่าป.อินทรปาลิตได้ถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย

ผมเชื่อว่าสิ่งนั้น

ความมหัศจรรย์ในความสมจริง “ใน”งานเขียน - งานที่มี “ลมหายใจ” และ

ผมไม่แน่ใจว่าเป็นแนวคิดของเขาเองหรือไม่ แต่เป็นแนวคิดที่ผมชอบและรับมาใช้ในการวิเคราะห์งานเขียนทั้งหลาย ปราบดา หยุ่น ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “เป็น” ของเขาว่า งานเขียนที่ทรงพลังคืองานเขียนที่มี “ลมหายใจ” ของงานเขียน – ซึ่งมาจากผู้เขียน และทำให้งานนั้น “เป็น” - เป็นในที่นี้คือตรงข้ามกับ “ตาย” ซึ่งผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ของเขา เพราะจากการสังเกต งานเขียนที่ทรงพลัง จะต้องเป็นงานเขียนที่มี “ลมหายใจ”

ลมหายใจของงานเขียนจะพาเราเข้าไปสู่โลกของงานเขียน
นั้น – อย่างแนบเนียนโดยเราไม่รู้ตัว ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้เป็นนักอ่าน และก็คงเคยมีประสบการณ์การอ่านร่วมกันอย่างหนึ่ง คือ อยู่ดีๆเราก็รู้สึก “หาย” เข้าไปในโลกของหนังสือหรือเรื่องที่เรากำลังอ่าน เคยใช่ไหมครับ ที่เราอ่านหนังสือจนลืมไปว่า เรานั่งอยู่ในห้องสมุดหรือนอนอยู่ที่เตียงในห้องนอน เราแทบไม่รู้สึกหรือสัมผัสถึงเวลาและสถานที่ของเราได้เลย สำนึกของเราหลุดไหลเข้าไปในหนังสือที่เราอ่าน ในโลกที่ผู้เขียนได้สร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ ประสบการณ์นี้เชื่อว่าหลายคนคงเคยพบนะครับ ประสบการณ์ที่เงยหน้าจากหนังสือมาอีกที ฟ้ามืดไปนานแล้ว ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน ท้องเพิ่งจะมาร้องเอาตอนนั้นเอง

นี่คือหนังสือที่มี “ลมหายใจ” ผู้เขียนได้ปลุกโลกของเรื่องแต่งของเขาด้วยลมหายใจของเขาเอง สร้างโลกให้ทุกคนเข้าไปเยี่ยมเยือนทันทีเมื่อเปิดหนังสือขึ้นอ่าน

และเช่นกัน หลายคนอาจจะเคยอ่านงานเขียนบางชิ้นนะครับ ที่อ่านแล้วเราไม่ได้รู้สึก – อาจจะใช้คำว่า “ไม่อิน” ไม่ได้รู้สึกหายตัวไปจากภาวะชั่วคราวเช่นนั้น เรามีความรู้สึกอยู่นั่นเองว่าเราอ่านหนังสือนั้นอยู่ในร้านตัดผม หรือบนโต๊ะทำงานตัวเก่า อย่างไรก็อย่างนั้น เราไม่ได้หายตัวไปไหน หนังสือนั้นเล่าเรื่องให้เรารู้อย่างเป็นคนนอกผู้รับฟัง ไม่ใช่การมองเข้าไปหรือหลุดหายเข้าไปในโลกนั้น นั่นเองคือหนังสือที่ยังขาด “ลมหายใจ” หรือ “จิตวิญญาณ”

เชื่อว่า คนที่ต้องเสน่ห์แรงดึงดูดของสามเกลอ ล้วนแต่เคยถูก “ดูด” ลงไปอยู่ในกรุงเทพฯ และประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2482 – 2511 แล้วแต่เล่มที่ท่านอ่านนั่นเอง กันมาแล้ว หรือแม้ในสถานที่อันไม่มีจริง เป็นเพียงในจินตนาการเช่น Happy Hall แต่หลายคนคงรู้สึกว่าคุ้นเคยเหมือนได้ไปกินเหล้าที่นั่นพร้อมฟังเพลงจากวงดนตรีคณะนายสมพงษ์ หรือได้ชมการออกฤทธิ์ออกค่างของสามเกลอขี้เมากันมาแล้วจริงๆ หรือกระทั่งหลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ “บ้านพัชราภรณ์” เหมือนเป็นบ้านของตัวเอง นึกภาพห้องอาหาร ห้องครัว ห้องรับแขก ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ สระน้ำ คอกม้า ได้อย่างกระจ่างชัดเหมือนบ้านเพื่อนคนหนึ่งที่เคยไปเที่ยว

ไม่มีความคิดเห็น: