วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

ปีนัง (1) มรดกอาณานิคมริมฝั่งจอร์จทาวน์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 ธันวาคม 2552 17:08 น.
โดย : The Minnie

"ซิตีฮอลล์" ความรุ่งเรืองของลัทธิล่าอาณานิคม
แม้จะคุ้นชื่อ “ปีนัง” จากหนังละครยุคปริศนามานาน แต่ฉันก็ยังไม่มีโอกาสได้เยือนเกาะอันเลื่องชื่อแห่งนี้ จนกระทั่งต้องไปเป็นสักขีพยายานงานแต่งของเพื่อนที่ อ.สะเดา หมู่เราจึงมีไอเดียไถลไปเที่ยวต่างประเทศแบบใกล้ๆ กันเสียหน่อย

จากสะเดาเข้าออกปีนังไม่ยาก มีรถตู้ไปกลับหาดใหญ่-ปีนังให้บริการทุกวัน (แถมวันละหลายเที่ยว) หรือจะเป็นรถไฟก็มีตรงจากหัวลำโพง ผ่านภาคใต้สุดทางที่สถานีเมืองบัตเตอร์เวิร์ธ ประเทศมาเลเซีย จากนั้นก็ข้ามเรือที่ท่าชื่อเดียวกัน เข้าสู่เกาะปีนังได้อย่างสบายเช่นกัน

การเดินทางของพวกฉันครั้งนี้ เป็นแบบผสมผสาน ตามตารางเวลาที่เร่งเร้าให้เป็นเช่นนั้น โดยการบินไปลงที่ปีนัง แล้วนั่งรถย้อนกลับเข้าประเทศเพื่อร่วมพิธีสำคัญของเพื่อน พวกเราเลือกสายการบินราคาถูกจากกรุงเทพฯ เพราะใช้เวลาเดินทางแค่ 90 นาทีถึงปีนัง จึงไม่จำเป็นต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายระหว่างทาง

บ้านท่านพระยาภูมินารถภักดีที่ลูกหลานเปิดให้พัก
ไฟล์ทเช้าตรู่ คือ มติเอกฉันท์ของลูกทัวร์ เรามีเวลาที่ปีนังเพียงแค่ 2 วันกว่าๆ จึงทำให้การไปถึงแต่เช้า (ที่สุด) เป็นสิ่งที่ปรารถนายิ่งนัก

แต่แล้วสิ่งที่เขาร่ำลือก็มาถึง ช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนการเดินทางฉันได้รับแจ้งจากสายการบินว่า “ขอยกเลิกไฟล์ทเช้า ให้พวกเราไปเดินทางในไฟล์ทบ่ายแทน” ไถ่ถามไปก็ให้เหตุผลที่น่ารับฟังว่า “ต้องเติมน้ำมันและทำความสะอาดเครื่องบิน จึงเตรียมเครื่องไม่ทัน” ไม่เช่นนั้นท่านก็เลือกวันอื่นๆ แต่ในเส้นทางเดิม เพราะตั๋วนี้ไม่สามารถเปลี่ยนคนหรือเปลี่ยนเส้นทางได้

ยอมรับว่าเสียเส้นพอควร เพราะช่วงเวลายังไงก็ต้องเป็นไปตามนั้น แต่ไม่อยากให้เสียอารมณ์ในการท่องเที่ยว จึงบ่นไปพองาม และจำยอมเดินทางในช่วงบ่าย (แต่ก็จำไว้เพราะไม่มีของขวัญขอโทษใดๆ แนบกลับมาให้เลย)

นั่นจึงทำให้พวกเราได้เหยียบสนามบินแห่ง “ปูเลาปีนัง” ในช่วงเย็น และรีบโบกแท็กซี่ที่เป็นยี่ห้ออื่นใดไปไม่ได้นอกจาก “โปรตรอน” นำพาสู่ที่หมายปลายทาง ณ ใจกลาง “จอร์จทาวน์” เมืองหลวงของรัฐปีนัง

"บูลเฮาส์" ที่เจ้าของได้รับฉายาว่าเป็น "ร็อกกีเฟลเลอร์แห่งตะวันออก"
จากสนามบินสู่ที่พักประมาณ 10 กิโลฯ (เอง) แต่พวกเราดันไปโผล่ในช่วงเวลาเลิกงานของเย็นวันศุกร์ กว่าจะถึงที่พักก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง แต่ช่วงเวลาเกินปกติบนแท็กซี่ก็หาได้น่าเบื่อ เพราะเพลินกับการสำรวจบ้านเมือง ไล่รวมไปถึง “เจ้าโปรตรอน” ที่วิ่งขวักไขว่มากหน้าหลายตา ผลงานสร้างสรรค์ภายในประเทศนี้

ฉันเลือกที่พักเป็นบ้านเก่าบน “ถนนปีนัง” เพราะสืบสาวราวเรื่องก่อนร่อนอีเมลมาจองได้ความว่า คฤหาสน์ร่วมร้อยปีหลังนี้เป็นของ “กูเด็น บินกูแมะ” (Ku Din Ku Meh) หรือ พระยาภูมินารถภักดี อดีตเจ้าเมืองสตูล สมัยช่วงรัชกาลที่ 5-6 ซึ่งปัจจุบันเปิดให้เป็นที่พัก และมีเหลนของท่านเป็นผู้จัดการดูแล

มาปีนังทั้งที ก็ขอเลือกพักระดับคฤหาสน์ท่านเจ้าคุณคงจะดูขลังดีไม่น้อย ที่สำคัญบ้านท่านอยู่ในสมรภูมิอันดียิ่ง ทั้งการเดินชมอาคารและการตามชิมอาหาร ซึ่งเป็น 2 กิจกรรมหลักในการท่องปีนังครั้งนี้

พักที่บ้านโบราณแล้ว ก็ต้องประเดิมการท่องเที่ยวด้วย “เส้นทางสายมรดกโลก” (Heritage Walk) ให้สมกับที่มาเยือนเมืองที่ได้รับตำแหน่ง “มรดกโลก” หมาดๆ เมื่อปีกลาย

อาคารบ้านเรือนที่เป็นส่วนของมรดกโลก อยู่กระจัดกระจายในแถบชายฝั่งเมืองจอร์จทาวน์ แต่ส่วนใหญ่ตั้งกระจุกตัวอยู่บนนถนน 2 สายหลักคือ “เชิร์ช สตรีท” (Church Street) และ “ไลท์ สตรีท” (Light Street) ที่ทอดยาวเกือบขนานกัน และยังขนานกับแนวชายฝั่งทะเลอีกด้วย

"โบสถ์อัสสัมชัน" อายุนับศตวรรษของคาธอลิก
“บลูเฮาส์” คือจุดแรกที่ฉันเรียบๆ เคียงๆ ดู เป็นบ้านจีนสีสันสวยงาม (นำด้วยสีน้ำเงินเหมือนชื่อในภาษาฝรั่ง) ปัจจุบันเปิดเป็นที่พัก แต่ราคาค่อนข้างสูง เพราะที่แห่งนี้มีรางวัลพิเศษจากยูเนสโกประดับไว้ตั้งแต่ปี 2000 ในฐานะที่อนุรักษ์อาคารอายุกว่าศตวรรษให้เป็นมรดกที่สวยงามดั่งของเดิม

แม้ไม่พักที่นี่ แต่ก็มีทัวร์ชมตัวบ้านได้ (ในราคาคนละ 12 ริงกิต) น่าเสียดายที่ฉันมาเย็นเกินกว่าจะมีโอกาสได้เห็นห้องหับต่างๆ ที่มีมากถึง 38 ห้อง พร้อมด้วยหน้าต่างอีก 220 บานในบ้านสีน้ำเงินหลังนี้

จากบลูเฮาส์ เราเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ตามเชิร์ชสตรีท ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของอาคารสถานที่เก่าสมัยปลายศตวรรษที่ 19 ตั้งอยู่เรียงราย อาทิ “โบสถ์อัสสัมชัญ” ถัดมาเป็น “พิพิธภัณฑ์ปีนังและอาร์ตแกลลอรี” และเดินไปอีกไม่ไกลเป็น “โบสถ์เซ็นต์จอร์จ” นิกายแองกลิกันที่ชาวอังกฤษนับถือ ถือได้ว่าเป็นโบสถ์ประจำนิกายเก่าแก่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ สร้างขึ้นจากแรงงานของนักโทษ

บนถนนแห่งนี้เต็มไปด้วยสถานที่สำคัญทางศาสนา สมกับที่ตั้งชื่อว่า “เชิร์ช” สะท้อนวิถีของผู้คนในสมัยนั้นที่ผูกพันกับศาสนาอย่างชัดเจน

พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงแล้ว พวกฉันลัดเลาะเข้าสู่ถนนไลท์ ที่ตั้งขึ้นตามชื่อของ “เซอร์ฟรานซิส ไลท์” พ่อค้าชาวอังกฤษแห่งบริษัทอีสต์อินเดียน ผู้เดินทางมาหาท่าเทียบเรือรบและสินค้าก็ได้ขึ้นมาที่เกาะแห่งนี้ จนเจรจาขอเช่าเกาะได้ (ในยุคเดียวกันก็มีพ่อค้าชาวอังกฤษมาตั้งถิ่นฐานแถวนี้อีก 2 เกาะคือที่มะละกาและสิงคโปร์)

"เซนต์จอร์จ" สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกให้เซอร์ฟรานซิส ไลท์
รูปปั้นของท่านเซอร์ไลท์ตั้งอยู่บริเวณที่ท่านขึ้นฝั่งในปี 1786 และข้างๆ เป็น “ป้อมคอร์นวาลลิส” (Fort Cornwallis) ที่ด้านในมี “เสรี รัมใบ” ปืนใหญ่ที่มีชื่อเสียงของฮอลันดา ซึ่งกำนัลให้แก่สุลต่านรัฐยะโฮร์ แต่ถูกโปรตุเกสชิงไป และส่งต่อไปยังชวา ท้ายที่สุดอังกฤษก็นำกลับมามาที่นี่

ปัจจุบันเสรี รัมใบไม่ใช่แค่ปืนใหญ่เก่าแก่ในตำนานที่ทรงพลานุภาพ แต่ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นที่เลื่องลือ หากหญิงใดต้องการได้ลูก ขอให้นำดอกไม้ไปวางที่ปากกระบอกปืนใหญ่และอธิษฐาน ทว่าสาวๆ ที่ร่วมทางยังไม่มีโครงการผลิตทายาท จึงเลียบเลาะกำแพงป้อมปืนผ่านไป

หลังจากรายงานตัวกับอดีตผู้มีอิทธิพลของเกาะแล้ว พวกฉันมุ่งสู้เส้นทางริมน้ำ เพื่อชมแสงสีบริเวณ “เอสพลานาร์ด” ที่ไม่ใช่ห้างกลางเมือง แต่เป็นพื้นที่โล่งริมชายหาด โดยมีอาคาร 2 หลังที่เคยใช้เป็น “ทาวน์ฮอลล์” และ “ซิตีฮอลล์” ประดับประดาด้วยแสงไฟ พร้อมด้วย “อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 1” (The Cenotaph) ตั้งอยู่บริเวณที่ลานแห่งนั้น

“ซิตีฮอลล์” นับเป็นอาคารสมัยโคโลเนียนที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ยิ่งนัก มีลักษณะเด่นของเสาแบบกรีก และหน้าต่างบานใหญ่ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของลัทธิจักรวรรดินิยม และครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ทำการของรัฐบาลท้องถิ่นมาแล้ว จึงได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีกระทั่งถึงปัจจุบัน

ถนนหนทางในย่านเมืองเก่าของจอร์จทาวน์สะอาดและสงบ
ที่บริเวณเอสพลานาร์ดแห่งนี้ มีสวนหย่อมและต้นไม้ใหญ่เรียงราย ไปตามทางเดินริมชายฝั่ง เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวปีนัง ทั้งหนุ่มสาวและครอบครัวต่างพากันมาสูดอากาศริมทะเล มองไปเห็นสะพานแขวนข้ามสู่ฝั่งลิบๆ (ถ้าในตอนกลางวันน่าจะมองเห็นได้ชัดเจน)

พวกเราสูดกลิ่นทะเลปีนังพร้อมกับลิ้มรสไอศกรีมรถเข็นในแบบมาเลย์กันอย่างสบายอารมณ์แล้ว ก็มุ่งหน้าต่อไปยังหอนาฬิกา ที่เป็นเสมือนหมุดปักใจกลางเมือง ซึ่งมีที่ทำการของรัฐปีนังอยู่ในบริเวณนั้น ที่วงเวียนหอนาฬิกานี้เชื่อมต่อกับเชิร์ชสตรีท และบีชสตรีท

“บีชสตรีท” เป็นชื่อถนนที่ไม่ได้อยู่เลียบชายหาดแต่อย่างใด ถนนที่ติดชายหาดจริงๆ ชื่อ “เวล์ด เควย์” (Weld Quay) ตามเส้นนี้จะมีท่าเทียบเรือข้ามฟากสู่แผ่นดินใหญ่ ไปลังกาวี และมะละกา ส่วนบีชสตรีทขนานกับเวล์ดเควย์ 2 ข้างทางของถนนแห่งนี้ก็ยังคงมีอาคารสูง 2-4 ชั้นสไตล์โคโลเนียนให้เราเดินชม

ศาลาว่าการเมืองที่เพิ่งบูรณะใหม่สวยงาม
หลังจากเสพบรรยากาศเมืองเก่าที่มีกลิ่นอายของ “ผู้ดี” อย่างอิ่มเอมไปแล้ว ท้องของพวกเราก็เริ่มต้องการเสพอาหารบ้าง พวกขอเปลี่ยนหมวกจากสมัยวิกตอเรียน เป็นผ้าโพกหัวมุ่งหน้าสู่ “ลิตเติ้ลอินเดีย” ที่อยู่ระหว่างมาร์เก็ตสตรีทและไชน่าสตรีท !!

ใช่แล้ว ไม่มีอะไรผิดเลย ที่ไชน่าสตรีทก็พอมีคนจีนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นที่ตั้งของไชน่าทาวน์ แถมเป็นย่านแขกเสียส่วนใหญ่ สิ่งการันตีว่าที่ไหนย่านใครได้ดีที่สุดก็คือ “เทวสถาน”


ที่บริเวณนี้มีโบสถ์ฮินดูมากมาย แต่ที่โดดเด่นคือ “วัดศรีมหามาริอัมมัน” โบสถ์ฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในปีนัง สร้างในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ภายในประดิษฐานเทวรูปเทพเจ้าและเทพีที่ล้วนตกแต่งด้วยทองคำ เพชร มรกต และอีกสารพัดสิ่งล้ำค่า นับเป็นศาสนาสถานที่สำคัญของชาวอินเดียบนเกาะ

ระหว่างที่เรากำลังเพลิดเพลินบักทึกภาพ ท้องเริ่มเรียกร้องความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทริปนี้ฉันไม่ค่อยได้เตรียมการเรื่องกินมาเท่าใดนัก กะว่าร้านไหนดูน่ากินก็แวะกันไปเลย เดินชมร้านอาหารย่านอินเดียกันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเราก็สะดุดเข้ากับ “ไก่ปิ้งสีแดง”

ไก่ปิ้งสีแดงเป็นเมนูเด็ดดึงดูดใจโชว์กันตามหน้าร้านอาหารอินเดีย
“ทันดอรีชิกเก้น” คือไก่ย่างที่ทำให้ทุกคนตาวาว เป็นที่นิยมไม่น้อย เพราะกินง่ายกว่าเมนูอินเดียอื่นๆ แค่เลือกว่าต้องการกินแกล้มกับ “โรตีคาไน” (แผ่นแป้งโรตีทอดที่เราคุ้นเคยกัน) หรือกินกับ “นัน” (แป้งแผ่นหนามีงาและกระเทียมผสม) เสิร์ฟพร้อมผักและแกงกะหรี่ แต่ “โรตีคาไน” ก็เป็นหนึ่งในเมนูแนะนำของการท่องเที่ยวปีนัง ที่ให้กินกับแกงต่างๆ เราจึงสั่งมาลองชิมให้หายข้องใจ

แม้โรตีจะถูกจัดให้เป็นอาหารคาวไปแล้ว แต่เพื่อนร่วมทริปของเราก็ระลึกได้ว่ามีโรตีของหวานที่เป็นแบบเฉพาะของสิงคโปร์-มาเลย์ นั่นคือ “โรตีทิชชู่” โรตีที่ตีแผ่เป็นแผ่นใหญ่บาง ทอดพอสุกกรอบแล้วนำมาม้วนเป็นกรวยโรยด้วยนมและน้ำตาล เสิร์ฟกันเหมือนยกภูเขามาให้ ส่วนเราๆ ก็รุมทลายภูเขากันหนุบหนับ

ด้วยความสนุกกับของหวานเฉพาะถิ่น กลัวกลับบ้านจะไม่ได้กิน ทำให้เราพยายามตระเวนชิมโรตีทิชชู่ตามร้านอินเดียต่างๆ กระทั่งแน่นพุงกะทิ แต่ในคืนสุดท้ายเราก็ได้สังเกตว่า ข้างที่พักของเราก็มีโรตียักษ์ขาย จึงลองชิมแกล้มกับ “ชาชัก” หรือ “เตห์ตะริก” ที่แวะชิมกันทุกเบรก

ไก่ทันดอรีกับแป้งนันถูกปากดี หากไม่คุ้นกับอาหารอินเดียน
ในที่สุดเราก็ได้รู้สึกถึงคำว่า “ใกล้เกลือกินด่าง” ก็งานนี้ล่ะ ทั้งชาชักและโรตีทิชชู่ ที่ร้านข้างบ้านพักอร่อยที่สุด มิน่าล่ะเมื่อฉันถามหาแหล่งของกินกับคุณเหลนท่านเจ้าคุณ เขาถึงกับออกอาการงงๆ ทำนองว่า ถนนหน้าบ้านก็มีอาหารอลังการพวกหนูๆ จะไปกินไหนกันอีก !!

เมื่อเปิดตาดูบนถนนปีนังที่ทอดผ่านหน้าบ้าน ก็พบว่าห่างไปไม่กี่เมตรบนถนนเส้นนี้ เป็นที่รวมชีวิตยามราตรี ทั้งศูนย์อาหาร ร้านโรตี ผับบาร์ จุดนัดพบสนทนา รู้แล้วว่าท่านเจ้าคุณเลือกบ้านได้ทำเลดีสุดๆ

“เมืองของพระเจ้าจอร์จ” แม้ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็เต็มไปด้วยผู้คนและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ยังมีที่กินที่เที่ยวอีกมากมาย โดยเฉพาะของกินเด็ดโดนใจ ตามไปลุยกันต่อได้ในสัปดาห์หน้า


ปีนัง (2) พลังแห่งศรัทธา เสน่หาของน้ำใจ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์21 ธันวาคม 2552 18:17 น.
โดย : The Minnie

"ก๋วยเตี๋ยวเลือกได้" ต้องการอะไรในชามชี้สั่งตามใจ
หลังจากทักทายเมืองหลวงแห่งรัฐปีนังในยามค่ำแรกพบด้วย “เส้นทางสายมรดก” ที่สมัยอาณานิคมทิ้งตกทอดไว้พอหอมปากหอมคอแล้ว วันรุ่งขึ้นพวกฉันเตรียมแผนการมุ่งหน้าออกจากกลาง “จอร์จทาวน์” เพื่อชมวัดวาอารามตามแบบพุทธศาสนา ที่สะท้อนออกมาในรูปแบบของแต่ละเชื้อชาติ “ไทย-จีน-พม่า”

กองทัพเดินด้วยท้องฉันใด กองเที่ยวอย่างพวกฉันก็ต้องการให้ท้องอิ่มยิ่งกว่าออกรบฉันนั้น เผอิญว่าที่บ้านท่านเจ้าคุณไม่มีอาหารเช้ายกสำรับจัดเสิร์ฟแบบสมัยร้อยปีก่อน ทำให้พวกฉันต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่เพื่อเติมพลัง

บน “ถนนปีนัง” แม้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวในยามค่ำคืน แต่ในช่วงเช้าก็มีร้านอาหารเปิดอยู่เป็นระยะๆ ทั้งอินเดีย ทั้งจีน แต่สมาชิกได้ลิ้มอาหารอินเดียไปแล้วเมื่อคืน บางคนที่พลาด “ทันดอรีชิกเก้น” ไป ถึงกับส่ายหน้าว่าไม่เอาอินเดียนแล้วดีกว่า (ยกเว้นโรตีทิชชู่ ที่ขอสู้ชิมไม่มีถอย)

“นาซิ เลมัก” อาหารเช้าที่กินได้ทั้งวัน
เช้านี้จึงประเดิมด้วยอาหารแนวจีน-มาเลย์กันดู พวกฉันเลือกเดินเข้าร้านที่ไกลจากที่พักไม่กี่คูหา เพราะว่ามีแรงดึงดูดใจจากแผง “ก๋วยเตี๋ยว” หน้าร้าน ที่แม่ค้าต้มน้ำซุปร้อนๆ ไว้ แล้วรอให้ลูกค้าอย่างพวกเรา เลือกวัตถุดิบที่วางเรียงรายอยู่ด้านหน้าตามความต้องการ มีทั้งเต้าหู้นานาชนิด ลูกชิ้นแบบต่างๆ เนื้อสัตว์ ผักสด สาหร่าย

อยากให้ก๋วยเตี๋ยวถ้วยนั้นมีอะไรบ้างก็เชิญชี้นิ้วสั่งกันไปได้เลย

ส่วนราคาก็คิดตามส่วนผสมที่เลือกกัน โดยรวมอยู่ที่ประมาณ 2-5 ริงกิต ชามไหนเน้นเต้าหู-ผักก็ถูกหน่อย ส่วนชามที่แพงก็คือหนักเนื้อสัตว์ (เมื่อนำ 10 คูณออกมาเป็นเงินไทย ชามละ 20-50 บาทก็ถือว่าคุ้มอิ่มกันเลย)

การได้เลือกกินในสิ่งที่ต้องการ และได้จับโน่นผสมนี่ด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่สนุกถูกใจยิ่งนัก แถมแม่ค้าก็ใจดีอีก ให้เลือกเข้าเลือกออกกันตามสบาย พูดไทยได้ไม่กี่คำ และพยายามจะถามจากพวกฉันอีกว่า อาหารต่างๆ ที่ขายอยู่ในร้านเรียกเป็นภาษาไทยว่าอะไรบ้าง

รถเมล์ปีนัง ยังใหม่และสะอาด
เฮฮากันเพลินจนลืมถามว่า เมนูนี้มีชื่อมาเลย์หรือจีนอย่างไร ฉันเลยตั้งชื่อกันเองว่า “ก๋วยเตี๋ยวเลือกได้”

แม้ก๋วยเตี๋ยวเลือกได้จะชามใหญ่เพียงใด แต่ “นาซิ เลมัก” ก็ถือว่าเป็นไฮไลต์อาหารเช้าของมาเลย์ มาทั้งทีไม่ควรที่จะพลาด “นาซิ เลมัก” หรือ “ข้าวมัน” กินคู่กับซอสเผ็ด (ซึ่งส่วนใหญ่จะแถมเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสมมาด้วย) และยังนิยมแกล้มกับปลาเล็กปลาน้อย ไข่ต้ม ถั่วลิสงคั่ว จริงๆ แล้วดั้งเดิมจะห่อใบตอง ซึ่งยุคใหม่ก็มีใบตอง แต่รองจานมาประหนึ่งของประดับ

“เตห์ตะริก” หรือ “ชาชัก” เป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้ในทุกมื้อ แต่เช้าๆ แบบนี้ฉันขอเพิ่มคาเฟอีนขึ้นมาอีกสักที่เป็น “คาพิโอ” ก็คือ “โอเลี้ยง” ซึ่งมันคือกาแฟใส่น้ำแข็ง และจากการพิสูจน์ของหวานหลายแห่ง มีบทสรุปส่วนตัวได้ว่า ผู้คนที่อยู่บนดินแดนน้ำเค็มล้อมรอบแห่งนี้ไม่ค่อยบริโภครสหวาน

มองจากประตู “วัดไชยมังคลาราม” จะเห็นวัดพม่าอยู่ตรงข้าม
อิ่มใหญ่กันไปแล้ว ได้ฤกษ์เดินทางกันเสียที

แหล่งท่องเที่ยววันนี้ไกลจากตัวเมืองไปหน่อย ทำให้ “รถเมล์” กลายเป็นยานพาหนะคู่ชีพของพวกฉัน และ “คอมทาร์” (Komtar) ก็ประหนึ่งเส้นสตาร์สของพวกเรา

“คอมทาร์” คืออาคารสูงที่สุดในปีนัง มองจากทางไหนก็เห็นเด่นเป็นสง่า และคอมทาร์ก็ยังเป็นท่ารถเมล์สายต่างๆ เรียกได้ว่า ใครจะขึ้นสายใดไปไหนให้ไปตั้งต้นตรงนั้นกันได้เลย

แม้จะรู้สายรถเมล์สู่ปลายทางกันอยู่แล้ว ตามแผนที่ของการท่องเที่ยวมาเลย์ที่ให้รายละเอียดไว้ จึงได้หาป้ายขึ้นแถวๆ นั้น แต่ปรากฏว่าเราก็หนีไม่พ้น “คอมทาร์” ท่ารถของเมืองเข้าจนได้ เพราะไม่ว่าจะอย่างไร รถก็ต้องวนมาที่คอมทาร์ก่อนพาออกจากกลางเมือง

“รถเมล์ปีนัง” สะอาดเอี่ยม แอร์เย็นฉ่ำ ด้านในคล้ายๆ รถเมล์เหลืองรุ่นใหม่ของบ้านเรา มีพนักงานขับรถควบตำแหน่งพนักงานเก็บเงิน คล้ายกับรถเมล์ในหลายๆ ประเทศ และที่สำคัญกรุณาเตรียมเงินให้พอดีเพราะไม่มีการทอน

“พระพุทธชัยมงคล”
พวกฉันไม่รู้มาก่อนว่ารถเมล์ที่นี่ไม่ทอนเงิน การโดยสารเที่ยวแรกจึงเป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะเพิ่งมาอยู่ไม่กี่ชั่วโมงมีแต่แบงค์ใหญ่ ทำเอาต้องยืนบวกเลขนับเศษกับค่ารถคนละ 1.40 เหรียญกันที่ตู้หยอดเงินให้เรียบร้อยครบถ้วน ก่อนจะได้รับตั๋วจากมือคนขับ

ระยะทางจากคอมทาร์สู่เป้าหมายแรกไม่ไกลกันนัก แต่ระยะเวลาที่รถเมล์จอดแต่ละป้ายนั้นนานพอควร เพราะคุณพี่คนขับพยายามจัดสรร ให้ทุกคนได้โดยสารไปพร้อมๆ กัน คนที่มีเงินไม่พอดีถูกสั่งให้แยกตัวออกมา รอท่าว่าผู้โดยสารคนถัดๆ ไป จะเผื่อแผ่แลกเหรียญกันได้หรือไม่

ฉันอมยิ้มกับเพื่อนๆ นั่งดูกรรมวิธีเก็บตังค์ที่เสียงดังล้งเล้ง แอบลุ้นให้การบวกลบคูณหารระหว่างผู้โดยสารลงตัว กว่าจะผ่านไปได้แต่ละป้ายก็เลยใช้เวลาพอควร แต่นับเป็นช่วงเวลาที่ฉันได้เห็นวิถีที่เอื้อเฟื้อใส่ใจกัน

การจุดเทียนน้ำมันเป็นการบูชาแบบจีน
คราวนี้ได้เวลาแบ่งปันมาถึงนักท่องเที่ยวอย่างพวกฉันกันบ้าง เมื่อคนขับหยุดที่ป้ายหน้าสถานีตำรวจบน “ถนนพม่า” แล้วหันมาบอกพวกเราให้เข้า “ซอยพม่า” ที่ข้างสถานีนี้ เพื่อจะไปเที่ยววัดไทย

“อ้าวแล้ววัดไทยทำไมอยู่บนถนนพม่า”

วัดไทยที่เรากำลังจะไป คือ “วัดไชยมังคลาราม” สร้างขึ้นในปี 1845 ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัดพม่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1803 วัดพม่ามาก่อนเลยครอบครองชื่อถนนไป แต่เราอย่าได้น้อยใจ เพราะถัดไปอีก 2-3 บล็อกมีซอยชื่อ “บางกอก” ให้คนแบ๊งค่อกไปถ่ายรูปกับป้ายเป็นที่ระลึก

มาถึงปีนัง ยังจะมาเที่ยววัดไทย (ทำไมกัน?)

มังกรหน้าวัดไทยที่คาบลูกแก้วเหมือนในวัดจีน
ก็เพราะที่วัดแห่งนี้มีพระประธานปางไสยาสน์ที่ยาวถึง 33 เมตร นับเป็นพระนอนที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก ที่สำคัญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จประพาสวัดแห่งนี้เมื่อ 47 ปีก่อนและได้ทรงถวายพระนามพระประธานว่า “พระพุทธชัยมงคล”

วัดไทยแห่งนี้เน้นสีสันจัดจ้านแปลกตา แม้ซุ้มประตูจะประดับภาษาไทยและเขียนกำกับว่าวัดไทย แต่เมื่อเดินเข้าไปภายใน อาจเกิดอาการสับสนเล็กน้อย มีทั้งพญานาคและมังกรในแบบจีน รวมถึงยักษ์หลายตนก็หน้าตาออกพม่า ลวดลายต่างๆ ก็ดูเรียบๆ ต่างจากวัดบ้านเราที่เน้นสีทองและความอ่อนช้อย

ฉันว่าน่าจะเป็นเพราะบริษัทอินเดียตะวันออกของพระราชินีวิกตอเรียผู้สร้างวัดแห่งนี้ ในตอนนั้นยังไม่คุ้นเคยกับความเป็นไทยเท่าใดนัก (แม้ว่าเดิมทีเกาะปีนังก็คือ “เกาะหมาก” ที่เคยเป็นของไทยก็ตาม) จึงได้รับแต่อิทธิพลของคนพม่าและจีนเป็นส่วนใหญ่

พระยืนใน “วัดธรรมิการาม” พร้อมกรอบประตูฉลุไม้สักทองและทาสีทอง
ชาติพันธุ์ของผู้คนที่เคยอยู่แถวนี้แสดงเด่นขึ้น เมื่อพวกฉันเดินเข้า “วัดธรรมิการาม” ที่ซุ้มประตูประชันอยู่ตรงข้ามกับวัดไทย วัดพม่าแห่งนี้เน้นการประดับตกแต่งด้วยไม้สักฉลุตามสไตล์พม่าไม่ผิดเพี้ยน

องค์พระประธานของวัดธรรมิการามเป็น “พระยืน” องค์ใหญ่สร้างจากหยกสีขาว เห็นแล้วเย็นสบาย และยังมีพระพุทธรูปปางต่างๆ สร้างจากหินอ่อนประดิษฐานอยู่ เหมือนในโบสถ์วัดไชยมังคลาราม แต่ว่าคำเรียกชื่อปางต่างกันออกไป

"เจดีย์หมื่นพระพุทธ" อยู่บนยอดเขามีสถาปัตยกรรมแบบไทยอยู่ส่วนกลาง
หลังรับน้ำมนต์และสนทนากับพระพม่าสักครู่ พวกฉันก็ออกเดินทางสู่วัดที่สามตามโปรแกรม ซึ่งอยู่คนละทิศกับวัดไทยและพม่า นั่นทำให้เราต้องไปตั้งต้นที่คอมทาร์อีกครั้ง

“เก็ก ลก ซี” (Kek Lok Si) เป็นวัดเจ้าแม่กวนอิม ที่สาวปีนังใจดีพยายามให้ฉันออกเสียงตาม เมื่อไถ่ถามเส้นทางบนรถเมล์ แถมยังพาพวกฉันลงรถ เลาะเข้าเส้นทางลัดสู่คอมทาร์แบบประหยัดเวลา พร้อมพาขึ้นรถที่ถูกสาย และคุยฝากฝังกับคนขับกำชับให้ส่งพวกฉันลงตรงป้ายเชิงเขาทางเข้าวัด

เต่ามากมายสมเป็น "วัดเขาเต่า"
น้ำใจที่หาได้ระหว่างทางแบบนี้ คนต่างถิ่นอย่างฉันประทับใจปีนังมิรู้ลืม

กว่าเราจะไปถึงวัด ถนนหนทางก็ชุ่มโชกตอกย้ำสภาพอากาศฝนชุกเกือบตลอดปีของปีนัง แต่โชคดีที่ระหว่างทางสู่ยอดเขา เราได้อาศัย “อุโมงค์ตลาด” เป็นขั้นบันไดนับร้อยที่มีหลังคาและเต็มไปด้วยร้านค้าของที่ระลึก ทำให้เดินได้เพลินจนลืมเหนื่อย

เกือบปลายทางบันไดก่อนเข้าวัด มีบ่อน้ำเต็มไปด้วยเต่า นี่จึงเป็นที่มาของ “วัดเขาเต่า” ที่คนไทยตั้งชื่อเรียกไว้ให้เหมาะเจาะ

ทางเดินขึ้นวัดเขาเต่าที่เต็มไปด้วยของขาย
บนยอดเขามี “เจ้าแม่กวนอิม” องค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ พร้อมด้วยสัญลักษณ์ของเมืองแห่งนี้ คือ “เจดีย์หมื่นพระพุทธ” ซึ่งเป็นเจดีย์ 7 ชั้นที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมจีน (ที่ฐาน) ไทย (ส่วนกลาง) และ พม่า (ส่วนยอด) เข้าด้วยกัน

เชื่อกันว่า เพราะรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาสและทรงพระราชทานเงินส่วนพระองค์ให้กับวัดแห่งนี้ นั่นจึงทำให้มีสถาปัตยกรรมไทยร่วมไปในเจดียสถานแห่งนี้ด้วย

"คอมทาร์" ตึกทรงกลมสูงๆ มองจากถนนปีนัง
วัดเจ้าแม่กวนอิมแห่งนี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์

วันนี้พวกฉันตระเวนเที่ยวแต่วัด ที่มีดีกรีว่าใหญ่โตอย่างโน้นอย่างนี้ ทั้งพระนอนไทย พระยืนพม่า เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ ไม่ใช่เพราะชอบของใหญ่โตเด่นดังเป็นพิเศษ เพราะบางครั้งการสร้างอะไรใหญ่ๆ ก็ใช่ว่าเพียงต้องการโอ้อวด แต่ยังแฝงไว้ด้วยพลังแห่งศรัทธา ที่ต้องการแสดงคุณค่าแห่งศาสนาให้คนรุ่นหลังได้ตระหนัก

"โรตีทิชชู่" ของหวานถูกปาก
การเดินทางที่ไม่เร่งรีบ ทำให้ฉันและเพื่อนๆ ได้นั่งพัก ผ่อนกายผ่อนใจในแต่ละวัด ฟังเสียงสวดมนต์ พิจารณาปติมากรรมศักดิ์สิทธิ์ ดูชีวิตผู้คนที่วนเวียนมาไหว้พระ รู้สึกโปร่งโล่งสบายใจ เมื่อได้สูดบรรยากาศแห่งความสงบ

เมื่อเช้าอิ่มใหญ่ บ่ายนี้อิ่มใจ ป้ายต่อไปเตรียมอิ่มวิวที่ “ปีนังฮิลล์” ตามไปขึ้นรถรางกันได้ในสัปดาห์หน้า.



ปีนัง (จบ) มนต์ขลังแห่งความดั้งเดิม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ธันวาคม 2552 17:49 น.
โดย:The Minnie

รถรางกำลังลงจากปีนังฮิลล์ในวันที่เต็มไปด้วยหมอก
ด้วยสภาพอากาศที่ออกไปทางร้อนเสียส่วนใหญ่ (แม้จะมีฝนบ้าง) ของปีนัง ทำให้ “บูกิต เบนเดรา (Bukit Bendera) หรือ “ปีนังฮิลล์” ซึ่งสูง 830 เมตรจากน้ำทะเล กลายเป็นสถานที่หลบลมร้อนชั้นดีของชาวเมือง

ที่สำคัญตำแหน่งของ “ปีนังฮิลล์” นั้นสามารถมองเห็นเมืองหลวงของรัฐปีนังได้เต็มตา จึงทำให้พวกเราปรารถนาที่จะได้บันทึกมุมมองของจอร์จทาวน์ในแบบเบิร์ดอายวิว เหมือนในโปสการ์ด !! จาก “วัดเก็กลกซี” พวกฉันนั่งรถเมล์สัก 10 นาทีก็ถึงต้นทาง “รถรางขึ้นสู่ปีนังฮิลล์” รถรางมีสับเปลี่ยนขึ้นลงเขาอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึงค่ำมืด

"เอบีซี" ขนมน้ำแข็งไสยอดนิยมบนปีนังฮิลล์
รางรถไฟทางขึ้นลง “ปีนังฮิลล์” ถือเป็นนวัตกรรมที่ชาวอังกฤษแห่งยุคอาณานิคมทิ้งไว้ให้ สร้างเสร็จในปี 1922 เมื่อพวกเขาต้องการขึ้นไปตากอากาศท่ามกลางอุณหภูมิเย็นสบายพอให้หายคิดถึงเกาะบริเตนใหญ่ที่จากมา เห็นได้จากร่องรอยของโรงแรมเก่าที่สร้างไว้ตามเชิงเขา

รถราง (เกือบ) ใหม่บนเส้นทางสายเก่า ไม่ใช่มีไว้สำหรับนักท่องเที่ยวเพียงกลุ่มเดียว แต่ยังคงเป็นเส้นทางคมนาคมสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ตามเชิงเขา โดยมีสถานีจอดเป็นระยะ ขณะที่ภายในรถรางแม้จะมีที่นั่ง แต่ทุกช่องโดยสารก็ยืนแน่นเบียดราวกับรถเมล์กรุงเทพฯ ในยามเช้า

การเดินทางด้วยรถรางถึงจุดชมวิวบนปีนังฮิลล์นั้น ใช้เวลากว่า 40 นาที ถ้าได้จับจองเก้าอี้ในทีแรกก็ใช่ว่าจะนั่งได้ยาวตลอดสาย เพราะมีการเปลี่ยนรถรางในช่วงที่ 2 ตรงที่ระดับความสูง 350 เมตร ซึ่งจากนี้จะมีความชันยิ่งขึ้น แต่ภาพของป่าร้อนชื้นที่เขียวครึ้มเย็นใจก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในช่วงนี้

ผัดหมี่ฮกเกี้ยนที่นี่น้ำชุ่ม
วันที่พวกฉันขึ้นสู่ปีนังฮิลล์ อากาศเย็นสบายเป็นพิเศษ นั่นก็เพราะฝนเพิ่งซาเม็ดไปหมาดๆ และเมื่อถึงจุดที่เราจะได้บันทึกภาพ “จอร์จทาวน์” และ “ช่องแคบมะละกา” ให้เต็มตาเต็มเฟรม ปรากฎว่าเมฆหมอกอย่างหนาคลุมเชิงเขายาวไกลไปสุดสายตา

ฉันนึกถึงคำของสาวปีนังใจดีคนนั้น ที่บอกว่า ฝนไม่ตกมาพักใหญ่แล้ว เพิ่งจะตกก็วันนี้แหละ เลยพาลไปถึงสายการบินที่เลื่อนไฟล์ทของพวกฉัน ทำแผนขึ้นปีนังฮิลล์ต้องขยับมาในวันฝนตก !!

หลังจากพยายามเพ่งส่องวิวทะลุผ่านหมอก แต่ศักยภาพของสายตาก็หาเทียบเรดาร์ได้ พวกเราจึงเปลี่ยนไปส่องแผนที่ของ “ปีนังฮิลล์” ปรากฎว่าบนนี้ มีสถานที่ให้ท่องเที่ยวอีกมากมาย ไม่ใช่แค่ที่ชมวิวชิลๆ อย่างที่เราเข้าใจกัน

"ลกลก" ลวกจิ้มกันตามใจ
ที่ “ปีนังฮิลล์” เราสามารถเดินทางจากจุดจอดรถรางไปได้อีกไกลโข มีมัสยิด ศาสนสถานของฮินดู รวมถึงภัตตาคาร ร้านรวง หรือถ้าจะค้างคืนก็มีที่พักหลายแห่งให้เลือก และยังมี “คาโนปีวอล์ก” (Canopy Walk) ทางเดินสะพานตาข่ายแขวน 1 ใน 3 เส้นของมาเลย์ก็อยู่บนนี้ด้วย

พวกเรานึกว่าเป็นเนินเขาเล็กๆ จึงไม่ได้เตรียมตัวมาผจญภัยใดๆ บนฮิลล์แห่งนี้เลย และเมื่อวิวที่คาดว่าจะงามก็อดชมไปแล้ว สภาพอากาศเย็นและหมอกหนักแบบนี้ คงไม่มีกิจกรรมอะไรฆ่าเวลาได้ดีไปกว่าการ “กิน” เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจ

“ไอซ์กระจัง” หรือ “เอบีซี” ขนมน้ำแข็งไสของผู้คนแถบนี้ กลายเป็นของคลายหนาวของพวกเรา (เพราะมีเรียงรายขายกันทุกเจ้า) อนุมานว่าปกติอากาศยามเที่ยงบนนี้คงร้อนพอควร ส่วนพวกเราโชคดีที่มาเจออากาศแบบเย็นยะเยือกลมฝน เลยกินเอบีซีแก้หนาวกันไปซะเลย

"โรจาค" ของหวานฉ่ำใจ
พอจะคลายผิดหวังจากปีนังฮิลล์ได้แล้ว เราก็นั่งรถเมล์ยาวกลับเข้าสู่ใจกลางเมือง มื้อค่ำวันนี้ เราเลือกศูนย์อาหารกลางคืน “เรดการ์เดน” เยื้องกับที่พัก ซึ่งอาหารส่วนใหญ่เป็นแบบจีนฮกเกี้ยนและเสฉวน เป็นพวกเส้นก๋วยเตี๋ยวผัดต่างๆ ที่หาพบได้ทั่วไปในปีนัง เช่น “ฮกเกี้ยนหมี่” (ผัดหมี่ฮกเกี้ยน) “ชาก๋วยเตี๋ยว” (ผัดซีอิ้ว) และ ข้าวมันไก่ (แบบสิงคโปร์) เป็นต้น

แต่พวกเรามีมติเป็นเอกฉันท์กับ “ลกลก” (Lok Lok) จิ้มจุ่มในรูปแบบปีนัง ที่หน้าร้านตั้งอาหารสดสียบไม้มากมายทั้ง กุ้ง ไก่ ปลาหมึก ผัก ลูกชิ้นต่างๆ อยากกินไม้ไหนก็บริการตัวเอง จับจุ่มลงในหม้อน้ำเดือดที่วางอยู่แถวหน้าสุดของแผง พร้อมเลือกน้ำจิ้มตักราดเอาเอง สนนราคาก็คิดตามสีที่แต้มไว้ที่ปลายไม้ (ประมาณไม้ละ 0.20 – 2 ริงกิต ตามวัตถุดิบ)

ที่ "คูกงสี" จัดแสดงภาพจำลองของตึกสุดอลังการในยามกลางคืน
จริงๆ แล้ว “ลกลก” ที่ศูนย์อาหารนี้ไม่ใช่ของใหม่สำหรับพวกเรา ในคืนแรกพวกเราก็ได้พบรถเข็น “ลกลก” ที่ตลาดนัดข้างทาง ทุกคนสุดจะตื่นตากับไอเดียในการขาย เห็นผู้คนทั้งชาวปีนังและฝรั่งยืนล้อมลวกจิ้มกันใหญ่ ส่วนพวกเราบันทึกภาพกันไปหลายช็อต แล้วก็ตกลงกันว่าจะซื้อคนละไม้พอเป็นพิธี แต่พอรู้ตัวอีกที ก็ปักหลักอยู่หน้าหม้อต้ม หมดกันไปหลายไม้เลยทีเดียว

จะว่าไป เมนู “ลกลก” นี้ไม่ได้อร่อยมากนัก เพราะน้ำจิ้มออกรสจืดๆ สไตล์จีน (ถ้าทำน้ำจิ้มทะเลได้แบบบ้านเราคงเด็ดดวง) แต่ที่โดดเด่นจนติดใจคณะทัวร์คือ “ความสนุก” เพราะเราได้หยิบ ได้จุ่ม ได้ปรุงวัตถุดิบเอง จะสุกมาก สุกน้อยก็ตามสะดวก แต่ตอนจุ่มก็จำให้ดี อย่าเผลอไปหยิบไม้คนอื่นเข้าล่ะ !!

ระหว่างที่บางคนกำลังพัลวันกับ “ลกลก” สายตาฉันก็ปะทะเข้ากับ “โรจาค” (Rojak) ของหวานที่ขอขึ้นป้าย 5 ดาว มาปีนัง-มาเลย์ไม่แนะนำให้พลาดด้วยประการทั้งปวง ผลไม้สดๆ ราดด้วยน้ำจิ้มคล้ายน้ำปลาหวานบ้านเรา ลิ้มเข้าไปคำแรกชุ่มลิ้น รู้สึกฉ่ำแอปเปิล สัปปะรด กรอบๆ เย็นๆ แทรกด้วยน้ำตาลเคี่ยวข้นไม่หวานนัก อร่อยประทับใจ พอจะทำให้ลืมความโหดร้ายของเมฆหมอกบนปีนังฮิลล์ไปสนิท

ที่ทำการเมืองมรดกโลก "จอร์จทาวน์"
พวกฉันเหลือเวลาแค่ครึ่งเช้าในวันสุดท้าย จึงได้ตระเวนเที่ยวใกล้ๆ ในระยะเดินกำลังเมื่อย เตร็ดเตร่ไปย่านที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของชาวชุมชนดั้งเดิม โดยเริ่มที่ “ไชน่าทาวน์ บนถนนแคมเบล” ซึ่งมีตลาดตอนเช้าวางแผงขายของสดอยู่ที่กลางย่าน และพวกฉันก็เริ่มมื้อแรกด้วยติ่มซำแถวนั้น

แถวไชน่าทาวน์แห่งนี้ มีอาคารสีสันสวยงามมากมาย รวมถึงร้านค้า ร้านอาหารที่ยังจัดในรูปแบบดั้งเดิม เพียงแต่แต่งเติมสีให้คงดูสวยสด บริเวณนี้จนเลยไปถึงถนนอาร์เมเนียน และ อาเจะห์ มีบ้านเศรษฐีจีนให้เห็นเป็นระยะ บางบ้านเปิดให้เราเข้าชม ซึ่งที่น่าสนใจ และใหญ่มากก็คือ “คูกงสี”

หนึ่งในบ้านสีสวยย่านไชน่าทาวน์
บ้านตระกูล “คู” นี้ใหญ่โตโอฬาร อารณาบริเวณเหมือนหมู่บ้านน้อยๆ มีโรงงิ้วอยู่กันกงสี ส่วนบ้านหลังหลักตกแต่งด้วยไม้สลักลวดลายวิจิตร โดยเฉพาะตามเชิงชายและคาน เดินแหงนดูกันจนเมื่อยคอ และมีการจัดแสดงเครื่องใช้ ความเป็นมาของตระกูล พร้อมให้พวกเราจำลองบรรยากาศโรงงิ้วในในบ้าน เข้าไปชมแล้วรู้สึก “คูล” กับการนำเสนอของตระกูล “คู”

จากบ้านเศรษฐี พวกฉันก็เดินย้อนมาดูบ้านผู้คนที่ทำมาหากินบนถนนสจ๊วตต่อไปถึงมุนตรี ย่านนี้มีนักท่องเที่ยวมากมาย ที่แถบนี้เป็นห้องแถวเล็กๆ 2-3 ชั้นสร้างติดกัน แต่ละบ้านมีกิจการที่สืบทอดกันมา ไม่ว่าจะเป็น ทำธูป ทำทอง ทำกาแฟ หรือช่างไม้แกะสลัก บ้านต่างๆ ก็ล้วนจัดแต่งให้โดดเด่นและสีสันสวยงาม บางบ้านเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ เก็บเงินบ้างเล็กน้อย

แถบอาคารเก่าบนถนนมุนตรี
ฉันว่าความพยายามส่งต่อและสืบสานกิจการของบรรพบุรุษ และคงความดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นนั้นถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างยิ่ง แล้วใครจะเชื่อว่าในวันข้างหน้า “มรดกที่ยังมีชีวิต” เหล่านี้จะเพิ่มมูลค่า จากการสร้างคุณค่าในตัวมันเอง

หลังเดินชื่นชมตึกอาคาร บ้านสีสันต่างๆ จนเต็มที่ พวกเรากลับมาเช็คเอาต์ พักเหนื่อย รอรถมารับไปหาดใหญ่ โดยมีคุณเหลนท่านพระยาภูมินารถภักดี เจ้าของบ้านคอยติดตามดูแล และท่านกล่าวอำลาเราด้วยการเปิดพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว ที่บันทึกร่องรอยของอดีตเจ้าเมืองสตูล ทั้งภาพและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ พร้อมเล่าเรื่องราวสาวความกันมาจนถึงปัจจุบัน ถึงมันจะเป็นห้องน้อยๆ แต่เรื่องราวที่อยู่ด้านในนั้นใหญ่โตเหลือเกิน

มัสยิดกัปตันเคลิง ศาสนาสถานขนาดใหญ่กลางจอร์จทาวน์
มีคนบอกว่าฉันว่า มาปีนัง แค่ตระเวนดูบ้านดูเมืองสีสันสวยงามในจอร์จทาวน์ ก็เพลิดเพลินเพียงพอแล้ว แต่ในฐานะ “มรดกโลก” คำการีนตีก็ได้บอกอะไรไว้มากกว่านั้น โดยเฉพาะเรื่องราวข้าวของที่คนรุ่นหลังเก็บไว้อย่างตั้งใจ เท่ากับการแสดงให้เห็นว่า ลูกหลานบ้านนี้เมืองนี้ได้เห็นคุณค่าในสิ่งที่บรรพบุรุษเพียรพยายามสร้างไว้.


ไม่มีความคิดเห็น: