วันพลิกชะตาโลก
จะเป็นด้วยเหตุอันใดก็มิอาจทราบได้...แต่หมู่นี้ แม่พระธรณีท่านค่อนข้างจะแสดงอาการพิโรธบ่อยขึ้น ถี่ขึ้นอย่างเห็นได้โดยชัดเจน เพียงแค่ต้นปีเสือผ่านไปได้ไม่ครบเดือนดี พื้นแผ่นดินในแต่ละซีกโลก ต่างก็บิดเนื้อ บิดกระดูก สร้างความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น หนักบ้าง เบาบ้าง เกือบจะนับสิบๆ ครั้งเข้าไปแล้ว...
----------------------------------------------
สำหรับกรณีโศกนาฏกรรมในเฮตินั้น...แทบไม่ต้องกล่าวย้ำตัวเลขคนตายทะลุหลักแสนไปเรียบร้อยแล้ว และจะไปถึงกี่แสนก็คงต้องติดตามกันต่อไป แต่ในช่วงระยะเวลาใกล้ๆ กัน ในป่าลึกแถบเวเนซูเอลลา ก็เจอกับแรงสั่นแรงสะเทือนระดับไม่เบาอยู่เหมือนกัน โชคดีที่เป็นพื้นที่ในป่าเขา ความเสียหายจึงไม่ปรากฏเด่นชัด แต่ที่อยู่ไกลกันคนละซีกโลก แผ่นดินไหวในอิหร่านช่วงระยะไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็เล่นเอาหมู่บ้านหลายร้อยหลายพันหลัง พังพินาศไปเป็นแถบๆ อีกเหมือนกัน ล่าสุด...แถบหมู่เกาะปาปัว นิวกินี ในเขตแปซิฟิกใต้ รอยเลื่อนของเปลือกโลกใต้มหาสมุทรก็สั่นพั่บๆ ทำเอาผู้คนหวาดหวั่น ขวัญสยอง ต่อภัยพิบัติจากคลื่นยักษ์สึนามิชนิดหูแหก ตาแหกไปตามๆ กัน...
------------------------------------------------
และถ้าย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว...ในช่วงปี ค.ศ.2009 ที่ผ่านมานั้น แม่พระธรณีท่านได้บิดไปบิดมาอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ เป็นกระบวนการเอาเลยทีเดียว ไล่มาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว เมืองเล็กๆ แถบประเทศอิตาลี ต้องเจอกับแผ่นดินไหวระดับ 5.8 ริกเตอร์ ห่างจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่เดือน วันที่ 2 กันยายน 2009 เปลือกโลกบริเวณเกาะชวา ในอินโดนีเซีย ก็ขยับตัวด้วยความแรงถึง 7.0 ริกเตอร์ พอๆ กับที่เกิดในประเทศเฮติ ตามมาด้วยเหตุการณ์ช่วงปลายเดือน วันที่ 29 กันยายน 2009 บริเวณเกาะซามัว และตองกา ในเขตแปซิฟิกใต้ ต้องเจอเข้ากับแผ่นดินไหวใต้ทะเลด้วยความแรงระดับ 8.0 ริกเตอร์ ก่อให้เกิดความพังพินาศ เสียหายกันไปไม่น้อย และอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แผ่นเปลือกโลกบริเวณเกาะสุมาตรา ก็สั่นไหวด้วยความแรงระดับ 7.6 ริกเตอร์ซ้ำๆ กันอีกครั้ง....
-------------------------------------------------
ความสลับซับซ้อนของปรากฏการณ์แผ่นดินไหว ยังคงเป็นสิ่งที่สร้างความงุนงงให้กับบรรดานักวิทยาศาสตร์ต้องปวดเศียร เวียนเกล้า กันอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ นอกจากจะมีการหยิบยกทฤษฎีว่าด้วยแผ่นเปลือกโลกที่ซ้อนทับ เหลื่อมกันไป เหลื่อมกันมา พาดผ่าน เชื่อมต่อ ระหว่างกันและกัน จนยากที่จะแยกแยะสาเหตุรายละเอียดได้ง่ายๆ ล่าสุดยังมีทฤษฎีของ อาจารย์สมิธ หรือท่านอดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา สมิธ ธรรมสโรช ผู้สร้างชื่อจนเป็นที่ยอมรับมาจากการเตือนภัย สึนามิ เมื่อปี ค.ศ.2004 ได้ออกมากล่าวถึงทฤษฎีว่าด้วยการสะสมพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ ที่ถูกเก็บกักเอาไว้ใต้ผิวโลก ก่อนที่จะปริ หรือผลักดันตัวเองออกมาจนกลายเป็นแผ่นดินไหว สร้างความวินาศสันตะโรให้กับใครต่อใครมากขึ้น แนวเดียวกับหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง 2012 วันสิ้นโลก อะไรประมาณนั้น...
--------------------------------------------------
ส่วนนักพยากรณ์แผ่นดินไหวอีกรายหนึ่ง...ที่ไม่รู้ว่าจะใช้ ทฤษฎีอาจารย์สมิธ หรือทฤษฎีอะไรกันแน่ แต่ก็เคยพยากรณ์เรื่องแผ่นดินไหว และการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ได้แบบเป๊ะๆๆ ไม่ต่างไปจากอาจารย์ สมิธ เอาเลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือศาตราจารย์ จอห์น แมคคลอสคีย์ แห่งสถาบันวิจัยนิเวศน์วิทยา มหาวิทยาลัยอัลส์เตอร์ ไอร์แลนด์เหนือ มีข่าวว่าเมื่อวันสองวันนี้...ก็ได้ออกมาพยากรณ์ หรือออกมาส่งสัญญาณเตือนภัยถึงภาวะแผ่นดินไหว อันเนื่องมาจากแรงกดดันสะสมใต้แผ่นผิวเปลือกโลก มาเป็นระยะเวลากว่า 200 ปี บริเวณเกาะซุนดา หรือบริเวณแนวชายฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย ที่จะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 8.5 ริกเตอร์ และจะนำมาซึ่งคลื่นยักษ์สึนามิครั้งใหญ่ สาดเข้าสู่ชายฝั่งเมืองปาดัง ประเทศมาเลเซีย ในอีกไม่นานไม่ช้า...
---------------------------------------------------------
อย่างไรก็ตาม...ไม่ว่าคำเตือนเหล่านี้จะน่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะทฤษฎีไหนต่อทฤษฎีไหนก็แล้วแต่...คงต้องยอมรับว่า โดยแนวโน้มของโลกทุกวันนี้มันชักจะเป็นโลกที่ค่อนข้างไม่ค่อยปลอดภัย โลกที่ไร้เสถียรภาพหนักขึ้นทุกที ไม่เพียงแต่ความไม่ปลอดภัย ความไร้เสถียรภาพ อันเนื่องมาจากความผันผวน ปรวนแปร ของลม-ฟ้า-อากาศ หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติเท่านั้น ความไม่ปลอดภัยและความไร้เสถียรภาพอันเนื่องมาจาก ระบบ ต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ หรือระบบสังคมก็ตาม ยังกลายเป็นตัวกระหน่ำซ้ำเติมให้ความไม่ปลอดภัย และความไร้เสถียรภาพนั้นๆ ยิ่งหนักหนา สาหัส หนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก...
---------------------------------------------
พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากระบบการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ที่มนุษย์ในแต่ละสังคม หรือในระดับทั่วทั้งโลก ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมานั้น มันมีความมั่นคง แข็งแรง อยู่บ้างในบางระดับสามารถให้หลักประกันถึงความถูกต้อง ชอบธรรม ความไม่เหลื่อมล้ำ เอารัดเอาเปรียบกันมากมายเกินไปนัก ภัยพิบัติทางธรรมชาตินานาชนิด ก็คงไม่ถึงกับสร้างความหวั่นไหว ก่อให้เกิดผลกระทบต่อโลกทั้งโลกได้มากมายซักเท่าไหร่ แต่ในขณะที่ความวิปริต ผันผวน ทางธรรมชาติกำลังทวีความหนักหน่วง รุนแรง อยู่ในทุกวันนี้...เผอิญว่าระบบต่างๆ เท่าที่มนุษย์สร้างขึ้นมาภายในโลกนี้ มันก็ดันวิปริต ผันผวนตามไปด้วย หรืออาจจะวิปริตยิ่งกว่าความผันผวนทางธรรมชาติด้วยซ้ำ...ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เลยปานประดุจใกล้ๆ จะถึงวันโลกแตกยิ่งขึ้นทุกที...
------------------------------------------------
ผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกันกับที่ภัยพิบัติทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม กำลังอยู่ในภาวะเละเป็นวุ้น หรือเละเป็นขี้ จนใครต่อใครต่างเพรียกหา การจัดระเบียบโลกใหม่ มานับเป็นสิบๆ ปีเข้าไปแล้ว ย่อมกลายเป็น เหตุปัจจัย อันจะนำมาซึ่ง การเปลี่ยนแปลง นานาชนิดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ภายในอนาคตอีกไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่ว่าในระดับโลก หรือในระดับสังคมแต่ละสังคม...ด้วยเหตุนี้ สำหรับสังคมไทยของเรา ที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เละยิ่งกว่าวุ่น ยิ่งกว่าขี้ หรือเละยิ่งกว่า เต้าหู้ตกโต๊ะ มานับเป็นทศวรรษๆ ก็ว่าได้ ย่อมหนีไม่พ้นไปจาก การเปลี่ยนแปลง อันเป็นนิรันดรเช่นเดียวกัน...
-----------------------------------------------
เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงนั้นๆ...ถ้าหากไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง ชอบธรรม ความรัก ความเมตตา และคุณธรรม แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเกลียด ความอาฆาต พยาบาท โดยไม่ได้สนใจที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างธรรมะและอธรรมออกจากกันให้ชัดๆ ผู้ที่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรในลักษณะเช่นนี้ นอกจากจะไม่สามารถผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปตามเป้าหมาย วัตถุประสงค์ ของตัวเองได้แล้ว ยังอาจเป็นเพียงแค่ ตัวเร่ง ที่ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องขจัด กวาดล้างกลุ่มคนเหล่านี้...นำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง จนได้...
----------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จากสุนทโรวาท อิหม่าม อาลี..."จงมองโลกๆ นี้ด้วยสายตาของนักการศาสนาผู้สันโดษ ไม่ใช่ด้วยสายตาของผู้ที่หลงไหลคลั่งมันอย่างตาบอด...".
---------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น