วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

ทัวร์สังเวชนียสถาน


เรียน คุณสามวา สองศอก

ผมเพิ่งจะกลับจากอินเดีย ไปนมัสการสังเวชนียสถาน 4 แห่ง ขอเอาบุญมาฝากคุณสามวา สองศอก และแฟนคอลัมน์ถูกทุกข้อทุกท่านด้วยครับ

ผู้อ่านคงจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานมาแล้ว บางท่านอาจไปด้วยตนเอง บางท่านก็อ่านจากหนังสือ ผมจะไม่ขอเล่าในรายละเอียด แต่ผมจะเล่าเฉพาะประเด็นที่ท่านอาจจะยังไม่รู้ ถือเป็นเกร็ดก็ได้

ผมเดินทางขึ้นเครื่องของสายการบินคิงฟิชเชอร์ จากกรุงเทพฯ ไปลงกัลกัตตาแล้วต่อรถไฟไปอำเภอคะยา ไกด์ท้องถิ่นเอารถมารับเดินทางต่อไปตำบลพุทธคยา ระยะทาง 60 กม. แต่ใช้เวลาเดินทางนานถึง 2 ชั่วโมง เพราะการจราจรติดขัดตลอดทาง อีกทั้งสภาพถนนทั้งแดงทั้งเป็นหลุมเป็นบ่อ

แม้รถคันที่ผมนั่ง ซึ่งเป็นแบบเก๋ง 3 ตอน (คณะของผมมีแค่ 5 คน รวมไกด์พระวิทยากรและคนขับเป็น 8 คน) จะพยายามแซงซ้ายแซงขวาอยู่ตลอดเวลา ก็ไปได้เร็วไม่เกิน 30 กม.ต่อชั่วโมง กฎจราจรของอินเดียรถส่วนบุคคลเขาให้วิ่งไม่เกิน 60 กม.ต่อชั่วโมง ส่วนรถบรรทุกวิ่งไม่เกิน 40 กม.ต่อชั่วโมง และกฎหมายยังบังคับด้วยว่า ถ้าขอทางโดยไม่บีบแตรจะมีโทษ เสียงแตรจึงดังสนั่นถนน

ท้ายรถบรรทุกก็มีข้อความเขียนติดไว้ให้คนในรถที่วิ่งตามอ่าน แต่ที่นั่นเขาเขียนข้อความเดียวกันหมดว่า BLOW HORN PLEASE แปลความหมายว่า ถ้าจะขอแซงให้บีบแตรอะไรทำนองนี้ และถ้าคันหลังขอทางคันหน้า เขาจะหลบให้ทันทีถ้าหลบได้ ไม่ว่าจะเป็นรถเล็กหรือรถใหญ่ ถ้าเป็นในประเทศไทยไม่มีทางเป็นเช่นนี้ ผมมาถึงพุทธคยาเข้าพักวัดป่าพุทธคยา ซึ่งอยู่ติดกับพระบรมธาตุไปทางด้านหลัง จะมีวัดไทยอยู่ประจำสังเวชนียสถานครบทุกแห่ง การเข้าพักวัดนั้น ค่าที่พักและค่าอาหารวัดไม่ได้เรียกร้อง แล้วแต่ใครจะทำบุญ นอน 1 คืน กินอาหาร 2 มื้อ ทำบุญแค่ 100-200 บาทก็ได้

แต่บริษัททัวร์เขียนโบรชัวร์แหกตาลูกทัวร์ว่า บริษัทจะจ่ายค่าที่พักและอาหารให้ ขอบอกว่าถ้าพักวัดไม่มีทางเราออกเองทั้งนั้น แม้พระไทยที่มาทำหน้าที่เป็นไกด์ ลูกทัวร์ก็ต้องออกเงินถวายพระวิทยากรเองด้วย

วันที่ไปถึงมีพระทิเบตจำนวนเป็นหมื่นรูปมาปฏิบัติธรรมที่พุทธคยาก็เดินกันเต็มเมือง พระวิทยากรของเราอธิบายว่าเป็นเหตุการณ์ประจำทุกปี และพระทิเบตเหล่านี้จะอยู่นาน 2-3 เดือน ถือโอกาสหลบหนาวที่โน่นไปในตัว การบริหารพระบรมธาตุพุทธคยา มีคณะกรรมการ 8 ท่าน ประกอบด้วย ฝ่ายพุทธ 4 ท่าน และฝ่ายฮินดู 4 ท่าน ซึ่งร่วมมือกันเป็นอย่างดีมาตลอด ส่วนรัฐบาลจะเข้ามาเกี่ยวข้องด้านการเก็บค่าเข้าชม หรือค่านำกล้องผ่านเข้าถ่ายในสถานที่นั้นๆ โดยหน่วยงานของราชการที่เรียกว่า Archaeolagical Survey of India หมายถึงหน่วยงานเกี่ยวกับการสำรวจแหล่งโบราณคดีจะรับผิดชอบดูแลสังเวชนียสถานด้วย และพระบรมธาตุพุทธคยาก็จดทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นกัน

การเดินทางไปสังเวชนียสถานแต่ละแห่งโดยรถยนต์ แม้จะมีระยะทางห่างกันไม่เกิน 300 กม. แต่ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่ 6-9 ชั่วโมง โดยเฉพาะช่วงที่จะเข้าด่านชายแดนเนปาล เพื่อไปนมัสการลุมพินีสถานที่ประสูตินั้น มีขบวนรถ 10 ล้อจอดเรียงคิวรอผ่านด่านนับร้อยคัน หาโอกาสแซงได้ยาก พอเข้าถึงด่านก็ไม่มีปัญหา เพราะคนขับรถจ่ายเจ้าถิ่นไม่ต่ำกว่า 5 ราย

ขากลับออกมาจากเนปาลค่ำแล้ว เห็นท่าจะเดินทางต่อไม่ไหว ผมจึงขอพักนอนโรงแรมออกค่าห้องเอง เช้าออกเดินทางตั้งแต่ตี 4 ไปยังเป้าหมายสุดท้าย คือสารนาถที่เรารู้จักในนามป่าอิสิปัตตนะมฤคทายวัน สถานที่แสดงปฐมเทศนา ระยะทาง 220 กม. ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ที่สารนาถเราพักที่วัดไทย ท่านเจ้าอาวาสชื่อพระครูสรวิชัย อายุ 88 ปี หน้าตาเป็นแขก ผมเห็นท่านนั่งผิงไฟอยู่บริเวณวัดกับพระลูกวัดอีก 2-3 รูป นึกไม่ถึงว่าท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านเรียกผมไปร่วมวงสนทนาด้วย ทำให้ทราบประวัติพิสดารของท่านว่า ปี 2500 ท่านเป็นตัวแทนพระสงฆ์ไทยจากเขตปกครองพิเศษมณีปุระของชาวไทยคำตี่ในแคว้นวัสสัม ไปร่วมสังคายนาที่ประเทศพม่า ได้พบกับพระพิมลธรรมหรือสมเด็จอาจ อาสโภ ผู้แทนสงฆ์ไทย

พอเสร็จงานสังคายนา ได้ติดตามสมเด็จอาจมาอยู่วัดมหาธาตุ พอสมเด็จอาจถูกจอมพลสฤษดิ์จับข้อหาคอมมิวนิสต์ ท่านก็ถูกเนรเทศออกนอกประเทศ พอสมเด็จอาจพ้นคดีท่านก็กลับมาอีก และได้รับตำแหน่งพระครู เมื่อวัดมหาธาตุส่งพระสงฆ์ไปจัดตั้งวัดไทยมฤคทายวัน ท่านก็ตามไปช่วยดำเนินการ และรับตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นรูปที่ 2

วัดไทยแห่งนี้แปลกกว่าวัดไทยที่อื่นอย่างหนึ่ง คือมีโรงเรียนชั้นประถมเป็นของวัดด้วย มีนักเรียน 200 คน การสอนมีมาตรฐานดี คนอินเดียนิยมส่งลูกมาเรียน ก็เหมือนเราแย่งกันเข้าเรียนโรงเรียนมาแตร์เดอีของคริสตจักรนั่นแหละ แต่ที่นั่นเป็นโรงเรียนของพุทธจักรน่าจะมีอยู่แห่งเดียวในโลก

คณะของผมโชคดี ที่นอกจากจะได้กราบไหว้สักการะสังเวชนียสถานครบ 4 แห่งแล้ว ยังมีพิเศษอีก 2 แห่ง คือ สถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เมืองไพศาลี ซึ่งเป็นแห่งเดียวที่ค้นพบพระบรมสารีริกธาตุของแท้และยังอยู่ เราจึงได้กราบกระดูกแท้ๆ ของพระพุทธองค์ที่นี่ ส่วนที่สารนาถก็มีการขุดค้นพบพระบรมสารีริกธาตุเช่นกัน แต่เจ้าหน้าที่แขกไม่รู้ธรรมเนียมพุทธ เอาไปลอยแม่น้ำคงคาเสียแล้ว อีกแห่งหนึ่งที่คณะของผู้แสวงบุญต่างๆ ไม่ได้ไป เพราะอยู่นอกเส้นทาง แต่คณะเราได้ไป ก็คือสถูปแสดงธรรมเรื่องกาลามสูตร ที่บอกว่าไม่ให้เชื่อใครจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง

ชาวพุทธในชมพูทวีปยุคนั้นเลื่อมใสหลักธรรมข้อนี้มาก เพราะถือว่าเป็นธรรมที่ล้ำลึกพิสดารที่สุด ไม่มีพระศาสดาองค์ใดกล้าเทศนาเช่นนี้ มีที่ไหนบอกว่าคำสอนของพระศาสดาก็อย่าเพิ่งเชื่อ ต้องนำไปปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อนจึงเชื่อ ดังนั้นจึงได้สร้างสถูปใหญ่ไว้ ณ สถานที่ที่พระพุทธองค์แสดงธรรมข้อนี้ ผมได้ฟังพระวิทยากรอธิบายให้ฟัง ก็ได้ทราบอุปนิสัยของคนอินเดียโบราณว่า คงจะชอบเรื่องลึกๆ แบบนี้เป็นชีวิตจิตใจ ก็ขอบอกนามวิทยากรไว้ด้วยว่า คือ พระมหาวีระชัย ปุญญชีโว นักศึกษาชั้นปริญญาเอก สาขาพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยพาราณสี เหลือสอบปากเปล่าครั้งสุดท้ายในเดือนเมษายนนี้ก็จะจบ

ท่านชวนพวกเราไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยที่ท่านเรียน แต่เราไม่มีเวลา ท่านจึงเล่าให้ฟังว่า มีนักศึกษาราว 50,000 นคน พระสงฆ์จากไทยนิยมมาเรียนที่นี่ ค่าใช้จ่ายไม่แพง ค่าเรียนรวมค่าหอพักตกปีละ 30,000 บาท ถ้ามีทุนปีละ 50,000 บาทก็เรียนได้

ผมตกใจเมื่อท่านบอกว่าเป็นมหาวิทยาลัยของฮินดู มีชื่อเป็นทางการว่า The Banarah Hindo University : B.H.U. อาจารย์สอนวิชาพุทธศาสตร์ก็เป็นฮินดูทั้งสิ้น แต่ก็เก่งด้านปริยัติมาก ส่วนด้านปฏิบัติไม่รู้จึงไม่มีการสอน ผมฟังดูแล้วมันจะกลายเป็นเรื่องของความนิยมมากกว่า ถ้าพระรูปไหนได้ดอกเตอร์จากอินเดียก็ถือว่าสุดยอด แต่พอมารู้ว่าฮินดูสอนก็เลยรู้สึกเฉยๆ ผมเห็นว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ในไทยควรจะเป็นศูนย์กลางในการศึกษาวิชาพุทธศาสตร์มากกว่า พระสงฆ์ไทยเก่งๆ มีเยอะน่าจะช่วยกันได้

พูดถึงความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย ในภาคเหนือที่ผ่านไป บอกได้ว่าอินเดียไม่ใช่ประเทศยากจน เพราะเขาปลูกพืชหมุนเวียนทั้งปี โดยไม่ต้องอาศัยน้ำฝนอย่างเดียว ฝนมาก็ใช้น้ำฝน ฝนไม่มาก็ใช้น้ำบาดาล หน้านาทำนา หมดหน้านาก็ปลูกผักทุกชนิด ที่นิยมมากคือมัสตาด เพราะขายได้ราคาดี คนอินเดียค้าขายน้อย ทำนาทำสวนเป็นส่วนใหญ่ ใครมีที่ของตัวเองก็ทำไป ใครไม่มีที่ของตัวเองก็เช่าที่ของคนอื่นทำ ใครไม่มีเงินเช่าที่ก็เป็นลูกจ้าง ทำงานในทุ่งใกล้บ้านนั่นแหละ ค่าจ้างตกวันละ 80 บาท อยู่ได้สบายๆ สังคมเกษตรอินเดียจึงเป็นสังคมพอเพียงที่แท้จริง และเป็นเศรษฐกิจพอเพียงมานับร้อยปีแล้ว

ผมเดินทางไปถึงกัลกัตตาเมื่อวันที่ 17 มกราคม เป็นวันที่ชาวอินเดียในรัฐเบงกอลตะวันตกต่างโศกเศร้าเสียใจ เนื่องจากรัฐบุรุษวัย 97 ปี ของเขาเสียชีวิต เขาเป็นอดีตประธานพรรคมาร์กซิสม์ และเคยเป็นผู้ว่าราชการรัฐเบงกอลตะวันตก ซึ่งมีกัลกัตตา (หรือโกลกัตตา) เป็นเมืองหลวง เป็นเวลายาวนานถึง 23 ปี ในช่วงหลังประกาศเอกราชใหม่ๆ และชาวอินเดียก็ยังคิดถึงเขาอยู่ไม่รู้คลาย จนถึงวันหมดลมหายใจ แต่พอผมเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ นั่งแท็กซี่จากสนามบินสุวรรณภูมิกลับบ้านที่หลักสี่ ก็ได้ยิน เสียงวิทยุในแท็กซี่ก่นด่ารัฐบุรุษของประเทศไทยคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างเสียๆ หายๆ และหยาบคายระคายหูยิ่งนัก ฟังแล้วก็ปลงได้สติว่าวัฒนธรรมทางการเมืองไทยล้าหลังอินเดียอยู่ถึงร้อยกัปร้อยกัลป์เลยทีเดียว เกิดอีกกี่ชาติก็จะไม่เห็นการเมืองไทยเสมอกับการเมืองอินเดียเป็นแน่แท้

ขอแสดงความนับถือ

พินิจนันท์

ตอบ คุณพินิจนันท์

เรื่องการเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดีย กำลังเป็นที่นิยมของคนใจ

บุญสุนทาน เมื่อก่อนเห็นแต่คุณสันติ เศวตวิมล พาทัวร์ไปอินเดีย แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นแฟชั่นที่ใครไม่เคยไปอินเดีย จะกลายเป็นชาวพุทธที่ไม่ทันสมัย

เมื่อวานเปิดดู ASTV เห็นคุณปอง-อัญชะลี ไพรีรัก ซึ่งเพิ่งจะไปทัวร์อินเดีย ก็มาชักชวนให้แฟนๆ รายการสภาท่าพระอาทิตย์ไปอินเดีย โดยเฉพาะทัวร์ที่จะไปกับคุณวีระ สมความคิด ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งตรงกับวันตรุษจีนและวันวาเลนไทน์ ยังขาดสมาชิกอีกประมาณ 30 คน คุณโสภณ องค์การณ์ ก็ถูกบังคับให้ไปทัวร์กับคณะนี้ด้วย

พวกเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่าเพิ่งเห่อไปอินเดียเลยครับ แค่เอาหลักธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปฏิบัติ ผมว่าจะได้ผลกว่าไปดูสถานที่ท่องเที่ยวของอินเดียซะอีก

สามวา สองศอก

ไม่มีความคิดเห็น: