โดย : ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
| ทัวร์เที่ยวข้ามปีของเรา มีจุดหมายที่ประเทศภูฏาน ตอนนี้ผมมาถึงทิมปู เมืองหลวงของประเทศแล้วครับ ทิมปูถือเป็นเมืองหลวงใหม่ สมัยก่อนประเทศนี้มีภูนาคาเป็นเมืองหลวง แต่คงเป็นเพราะภูฏานเริ่มเปิดประเทศ การจราจรทางอากาศมีความสำคัญมากขึ้น ภูนาคาอยู่ห่างไกล จะนั่งรถไปขึ้นเครื่องบินแต่ละที ต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 5-6 ชั่วโมง พระเจ้าจิมมี ดอร์จิ วังชุก กษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์วังชุก จึงย้ายเมืองหลวงในค.ศ.1959 (พระองค์เป็นปู่ของเจ้าชายจิกมี ผู้เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 5) เพื่อความเข้าใจเบื้องต้น ขอผมอธิบายเรื่องระบอบกษัตริย์สักนิด เมื่อหลายร้อยปีก่อน ผู้คนในภูฏานแยกเป็นเผ่าต่าง ๆ จนเมื่อราวสามร้อยปีก่อนหน้า ท่านซับดรุงสามารถรวมประเทศได้สำเร็จ เริ่มใช้ระบบการปกครองคล้ายธิเบต มีผู้ปกครองทางโลก (Desi) และผู้ปกครองทางธรรมและจิตวิญญาน (Trulku) ปัญหาคือหลังจากนั้น เกิดการแตกคอกันอีกครั้ง ทำให้ไม่มีผู้ปกครองอย่างแท้จริง เวลาผ่านเรื่อยมาจนถึงพ.ศ.2447 อูเก็น วังชุก เชื้อสายของเจ้าเมืองตรองสา (Trongsa – อยู่ในภาคกลาง เดี๋ยวเราจะไปเที่ยวกัน) สามารถรวมประเทศเพื่อต่อสู้กับอิทธิพลของอังกฤษ จนท้ายสุด ในพ.ศ.2450 พระองค์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของราชวงศ์วังชุก สืบทอดราชบัลลังก์ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ราชวงศ์ของภูฏานจึงนับว่าค่อนข้างใหม่ เมื่อเทียบกับราชวงศ์ของกษัตริย์ในอีกหลายประเทศ กษัตริย์ผู้มีบทบาทสำคัญอีกพระองค์คือ พระเจ้า จิกมี ซิงเก วังชุก กษัตริย์พระองค์ที่ 4 ผู้เป็นพระราชบิดาของเจ้าชายจิกมี พระองค์ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ 17 พรรษา (พ.ศ.2515) ทรงเป็นที่รักยิ่งของชาวภูฏาน นำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและความสุข (พระองค์เป็นผู้คิดค้นระบบ GNH – ดัชนีวัดความสุข) พระองค์มีราชินี 4 องค์ ล้วนเป็นพี่น้องกันทั้งหมด เจ้าชายจิกมีประสูติในพระราชินีองค์ที่ 3 แต่ถือเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ จึงได้รับสถาปนาเป็น “เจ้าชายแห่งตรองสา” องค์รัชทายาท ก่อนที่พระราชบิดาจะสละราชสมบัติให้พระองค์ พร้อมกับพระราชทานรัฐธรรมนูญให้ชาวภูฏาน คนภูฏานทั้งรักทั้งเคารพกษัตริย์พระองค์ที่ 4 จนหลายคนไม่อยากเปลี่ยนกษัตริย์หรืออยากได้รัฐธรรมนูญ ด้วยกลัววุ่นวายเหมือนบางประเทศ เช่น เนปาล แต่พระเจ้าซิงเกอธิบายว่า ภูฏานต้องเข้าสู่โลกยุคใหม่ รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ควรมีกษัตริย์พระองค์ใหม่ ทุกอย่างจะได้พัฒนาไปพร้อมกัน อีกประการหนึ่งคือพระองค์ไม่ได้เสด็จไปไหน ยังคอยช่วยให้คำปรึกษาเจ้าชายจิกมี เพื่อเติบใหญ่เป็นกษัตริย์ที่ดีดังเช่นพระองค์ คุณนพคนขับรถพาเราแยกออกจากถนนใหญ่ พลางชี้ให้ผมดูปั๊มน้ำมัน ในทิมปูมีปั๊มแค่ 3 แห่ง แต่ที่ผมเห็นเป็นประจำคือแห่งนี้ แม้จะมีลักษณะคล้ายปั๊มน้ำมันทั่วโลกหล้า แต่ยังมีลีลาของภูฏานประดับไว้ หลังคาวาดลวดลายในสไตล์หลากสีสัน เลยจากปั๊มไปหน่อย เราเข้าสู่ถนนสายหลักของเมืองชื่อ Norzim Lam (Lam แปลว่าถนน อันนี้ชัวร์ครับ แต่ชื่อถนน Norzim ผมเปิดหนังสือ 3 เล่ม เขียนไม่ตรงกันสักเล่ม Norzim – Norzine – Norzin) ก่อนมาภูฏาน ผมลองวาดภาพในอากาศ พอเข้าใจว่า เมืองทิมปูคงไม่ใหญ่โตโอฬารเหมือนเมืองในไทย แต่อย่างน้อยคงคล้ายเมืองแถวสิกขิมหรือเนปาล พอมาเจอของจริง มันไม่เหมือนครับ ผิดกันลิบลับ เพราะทิมปูเล็กนิดเดียว ยังเงียบสงบแทบไม่น่าเชื่อ ไม่มีเสียงแตร ไม่มีฝุ่นควัน ไม่มีผู้คนเดินกันอลหม่าน ในทิมปูมีอากาศเย็นสบายใสบริสุทธิ์ จนผมเชื่อ นี่แหละเมืองหลวงอากาศดีที่สุดในโลก ในทิมปูมีแม่น้ำสีเขียวอมฟ้า ผมก็เชื่ออีก นี่แหละแม่น้ำในเมืองหลวงที่สะอาดที่สุดในโลก ผู้คนและการจราจรยังไม่คับคั่ง จนผมเชื่อแล้วเชื่อเล่า นี่แหละเมืองหลวงที่รถติดน้อยที่สุดในโลก โอ้โฮ เล่นซะ 3 ที่สุดเลยนะคะเนี่ย หวานใจเค้าแอบแซวครับ แต่ผมมีหลักฐานประกอบความเชื่อ ทิมปูตั้งอยู่ในหุบเขาก็จริง แต่เป็นหุบเขาใจกลางหิมาลัย ความสูงในเมืองเกิน 2,300 เมตร ยิ่งถ้าขึ้นไปอยู่ตามเนินเขารอบเมือง ไม่ต่ำกว่า 2,500-2,600 เมตร จึงคล้ายกับเมืองที่อยู่ในระดับยอดดอยเชียงดาวจนถึงยอดดอยอินทนนท์ ป่าไม้รอบเมืองมีมาก มลพิษมีน้อย อากาศตอนกลางวันอยู่ประมาณ 15-18 องศา ตกกลางคืนจะหนาวต่ำสิบ ในฤดูหนาวอาจมีหิมะตกนิดหน่อย แต่พอโดนพื้นก็ละลาย ไม่ได้สะสมจนขาวโพลนไปทั้งโลก เหมือนยุโรปในช่วงนี้ บางคนนำทิมปูไปเทียบกับกาฐมาณฑุ ก่อนสรุปแบบเข้าข้างกระเป๋าตังค์ ไปเนปาลดีกว่า แต่ถ้าเป็นผม คำตอบคือไม่ดีกว่าครับ อันที่จริง สองเมืองนี้เทียบกันไม่ได้ กาฐมัณฑุอยู่ในหุบเขา สูงราว 1,800 เมตร มีแม่น้ำสีตุ่นไหลผ่าน มีคนอาศัยอยู่ 1.6 ล้าน บวกกับนักท่องเที่ยวอีกปีละ 5 แสนคน เมื่อเทียบกับทิมปู มีคนอาศัยอยู่ราว 50,000 คน บวกกับนักท่องเที่ยว 20,000 คน แค่ขนาดเมืองก็เหมือนเอาปายไปเทียบกับโคราช กาฐมาณฑุกับกรุงเทพยังเหมือนกันมากกว่าด้วยซ้ำ นอกจากขนาดเมืองที่ผิดกันลิบลับ บนถนนยังไม่มีรถราวุ่นวาย คนภูฏานขับรถแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย หลักฐานง่าย ๆ คือในทิมปูไม่มีไฟจราจร อ่านแล้วมึนใช่ไหมเอ่ย เมืองอะไรวุ้ยไม่มีไฟเขียวไฟแดง แถมเป็นเมืองหลวงอีกต่างหาก แต่ในภูฏานไม่มีไฟจราจรสักแห่ง ไม่ใช่เฉพาะทิมปู ถนนตัดกันเมื่อไหร่ เค้าใช้วงเวียน ใครมาถึงก่อนให้ไปก่อน อย่างเก่งก็มีคุณตำรวจจราจรคอยโบกรถ (ในทิมปูมีแค่ 2 คน อยู่ประจำเป็นบางเวลา) ผมผู้มาจากริมถนนเอกมัย กว่าจะขับรถพ้นประตูบ้าน บางหนติดแหง่กคาประตูอยู่เกือบสิบนาที เมื่อมาถึงเมืองนี้ ย่อมเกิดอาการคล้ายได้สลัดหลุดจากความวุ่นวายทั้งมวล ตัวเมืองทิมปูเล็กมาก ภายในเมืองมีอาคารสูงห้าหกชั้นอยู่เพียงไม่กี่แห่ง เกือบทั้งหมดเป็นหน่วยงานราชการ มีย่านร้านค้าขายของที่ระลึกนิดหน่อย อยู่ใกล้ลานกลางเมืองที่มีหอนาฬิกาพร้อมกงล้อมนตรา เอาไว้ให้ผู้คนหมุนเอาบุญ แต่ผมยังไม่เล่าครับ เพราะเรามีภารกิจสำคัญยิ่ง คือการไปแบงค์ ทั้งผมทั้งหวานใจมัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับภูฏาน เราลืมแลกเงินที่สนามบินเฉยเลย ในภูฏานมีแบงค์อยู่ไม่กี่แห่ง ถ้าเป็นทิมปู ผู้คนนิยมไปธนาคารกลาง มีผู้คนมาใช้บริการเยอะเหมือนกัน เค้ามีบัตรคิวให้เรียบร้อย เผอิญผมใช้คุณไกด์ ไม่ต้องใช้บัตรคิว แค่ส่งเงินให้เค้า ไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จ เค้าคงมีช่องพิเศษสำหรับการแลกเงินมั้งครับ ภูฏานใช้เงิน Nu โดยผูกติดไว้กับเงินรูปีของอินเดีย 1 นูคือ 1 รูปี ช่วงนี้รูปีถูกกว่าเงินไทย เอาเงินเหรียญแลกเข้าให้ เราได้อัตรา 1 เหรียญต่อ 45 นู หรือจะใช้เงินรูปีก็ได้ครับ ผมได้รับทอนมา เอาไปใช้ต่อ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร แต่ควรใช้แบงค์ใหญ่ตั้งแต่ 100 รูปีขึ้นไป คุณไม่ต้องแลกเงินมากมายหรอกครับ เอาแค่ติดกระเป๋า 100-150 เหรียญพออุ่นใจ แต่ต้องมีแบงค์ย่อยเยอะหน่อย เพราะเราต้องควักแบงค์พวกนี้เป็นประจำเงินก็มีแล้ว สมควรได้เวลาเริ่มเที่ยวสักที เป้าหมายแรกของเราคือการไปดูตัวทาคิน...
| |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น