ราหูอมพระอาทิตย์นั้น...
เป็นฉันใด?
วันนี้-คงไม่มีเรื่องอะไรจะคุย เพราะเมื่อวาน (๑๕ ม.ค. ๕๓) เกิดสุริยคราสตอนบ่าย ชาวบ้าน-ชาวเมืองเลยใจจด-ใจจ่ออยู่กับเงาดวงจันทร์ไปบังดวงอาทิตย์ บังก็บังไม่มิด พระอาทิตย์เลยแหว่งเหมือนหัวมันแกวถูกหนูแทะ ผมน่ะ...ไม่ได้ดูกะเขาหรอก ปิดห้อง-ปิดหับ เอามู่ลี่ลง แล้วเปิดไฟตั้งแต่เที่ยง ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นที่ทำงานละก็ คงปูเสื่อนอนคลุมโปงส่งไปเลย ก็กลัวราหูจะมาอมน่ะครับ!
ท่านที่อยู่แถวๆ ยุโรป สหรัฐ ญี่ปุ่น คงอดดูกระมัง สู้เมืองไทยบ้านเราไม่ได้ เขาดูกันสนุกสนานถ้วนทั่วทุกภาค ปกติแล้ว ราหูจะอมพระอาทิตย์ หรือจะอมพระจันทร์ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ มีให้ดูบ่อยๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นกลัว แต่สำหรับผม ขอสิทธิพิเศษ" กลัวเป็นการเฉพาะ" ก็แล้วกัน
กลัวสำหรับตัวเองน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่อ่านคำทำนายจากหลายๆ โหร ท่านบอกว่าสุริยคราสอย่างนี้ต้องระวัง...ผู้นำจะถูกปองร้ายหมายชีวิต"!?
ก็เลยกลัวแทนระดับบิ๊กๆ เขา ส่วนตัวค่อยประทะ-ประทัง เพราะผมมันแค่ระดับผู้ตาม ลองไล่เรียงดูว่า ใครบ้างล่ะที่อยู่ในระดับ "ผู้นำ" ตามความหมายนี้ โอ้โฮ...หัวก่ายไปหมด!
มีทั้งผู้นำรัฐบาล ผู้นำรัฐสภา ผู้นำฝ่ายค้าน ผู้นำเหล่าทัพ ผู้นำตำรวจ ผู้นำเสื้อเหลือง-เสื้อแดง-เสื้อขาว-เสื้อน้ำเงิน ผู้นำกบฏ ผู้นำมุ้งเล็ก ผู้นำมุ้งใหญ่ ผู้นำม็อบ ผู้นำปลุกระดม ผู้นำก่อจลาจล กระทั่งผู้นำขายบ้าน-ขายเมือง
แบบนี้ ราหูก็คงเง็ง ไม่รู้จะเลือกเอาชีวิต (บัดซบ) ไหนดี!?
อันที่จริง เรื่องพระราหูอมพระอาทิตย์ อมพระจันทร์นี้ มีตำนาน และเรื่องราวทั้งด้านวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ และโลกศาสตร์ ให้ศึกษา และนำมาอ้างอิงต่างๆ นานามากมาย เรียกว่าผมกันที ก็เอามาพูดกันที เราพูดกันมามาก และรู้กันมามาก แต่ถ้าถามว่า รู้แบบไหน...?
ก็รู้แบบไม่รู้ไง เพราะฟังบ่อยๆ จนชิน ชินจนไม่ (อยาก) สงสัย เหมือนการกะพริบตา เราก็กะพริบมาตั้งแต่เกิด แต่ถ้ามีใครถามว่า "กะพริบทำไม?"
ฉุนกึ๊ก....ถามหยั่งงี้ต่อยกันดีกว่า!
เอาอย่างนี้ครับ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ใช่ว่าผมจะรู้ดีกว่าท่าน บังเอิญได้อ่านเรื่อง "พระราหูอมพระอาทิตย์" ที่ท่าน พลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล เรียบเรียงไว้เป็นวิทยาทาน ผมอ่านก็ติดอก-ติดใจ เพราะท่านนำเรื่องยากจากศาสตร์ทุกแขนงมาขยำเป็นเนื้อเดียวแล้วร้อยเรียงให้ อ่านง่าย เข้าใจง่าย และได้ความรู้
ผมได้ยินแต่ชื่อเสียงท่าน แต่ไม่เคยได้รู้จักตัวท่าน เอาเป็นว่าผม "กราบขออนุญาต" นำสิ่งที่ท่านทำไว้ดีแล้วมาเผยแพร่เป็นวิทยาทานต่อตรงนี้ ดังต่อไปนี้
พระราหูอมพระอาทิตย์
ในวิชาดาราศาสตร์ถือว่า โลก เป็นดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยจักรวาล เงามืดของโลกที่ไม่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ เรียกว่าพระราหู เช่นเดียวกับดาวเคราะห์ดวงอื่น แต่วิชาโหราศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคพยากรณ์ถือว่า โลก คือ พระราหู เป็นศูนย์กลางของจักรวาลระบบจันทรคติ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ดาวหาง ต่างเป็นบริวารต้องโคจรรอบโลกอยู่ตลอดเวลา อันเป็นที่มาของความเชื่อในเรื่อง พระราหูเทวบุตร มีฤทธิ์เดชไม่ยิ่งหย่อนกว่าเทวดาองค์ใดในสวรรค์ และตำนานการขโมยดื่มน้ำอมฤตของพวกเทวดา จนถูกจักรของพระนารายณ์กายขาดเป็น 2 ท่อน ล่องลอยอยู่ในชั้นฟ้า
ท่อนหนึ่งเรียกว่า พระราหู คอยไล่จับพระอาทิตย์และพระจันทร์กลืนกิน แสดงให้เห็นถึงการค้นพบความลับของธรรมชาติมานานแสนนาน แต่ปกปิดซ่อนไว้ในรูปนิทานปรัมปรา ถ้าไม่ศึกษาค้นคว้าพิจารณาให้ถ่องแท้ ก็จะกลายเป็นความเชื่อที่งมงายไร้เหตุผล และไม่มีทางจะเข้าถึงศาสตร์ชั้นสูงอีกระดับหนึ่ง ที่เรียกว่า ญาณศาสตร์ ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าบรรลุชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้ ใครสำเร็จญาณชั้นที่ 8 ย่อมตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์
ดังนั้นก่อนที่จะไปถึงขั้นสำเร็จในระดับญาณศาสตร์ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และเข้าใจคุณสมบัติของระบบธาตุในโลก ระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศและระบบจักรวาล หรือทฤษฎีการหมุนเวียนไปรอบจุดศูนย์กลาง ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นบ่อเกิดของพลังศักดิ์สิทธิ์ของแม่เหล็กไฟฟ้า จนถึงการสร้างระเบิดมหาประลัย จึงต้องเข้าใจในเรื่องพระราหูให้ถูกต้องตามหลักธรรมชาติเสียก่อน ต่อจากนั้นจึงพยายามเรียนรู้เรื่อง หางพระราหู
แท้จริงแล้วโลกของเราภาคกลางวันได้รับแสงอาทิตย์อันร้อนแรง แผดเผาจนวัตถุธาตุบนพื้นผิวโลกละลายกลายเป็นไอระเหยระเหิดลอยขึ้นไปในอากาศ ดังจะเห็นได้จากละอองไอน้ำลอยฟ่องในหมอกเมฆ ควันไฟ หรือสิ่งที่มองไม่เห็นนานาชนิด ฝุ่นละออง ธาตุของโลกที่ล่องลอยขึ้นไปในชั้นฟ้า มิได้หลุดลอยไปนอกโลก แต่ขึ้นไปสถิตอยู่บนชั้นบรรยากาศสะสมเพิ่มมากขึ้นทุกวัน อันเป็นที่มาของระบบดินน้ำ ลม ไฟ ในชั้นบรรยากาศ ที่วิชาโหราศาสตร์เรียกว่า นวางค์ หรือ ตรียางค์ หรือความเชื่อในเรื่องเทวดามีวิมานอยู่บนสวรรค์ ดังนี้เป็นต้น การค้นพบความสำคัญของระบบชั้นบรรยากาศธาตุที่หุ้มห่อโลกไว้ คอยปรับสภาพอุณหภูมิบนพื้นผิวโลกให้เหมาะสมสำหรับเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลก สืบพันธุ์กันไปไม่ขาดสายนี่เอง ตำนานชาติเวรของดวงดาวจึงบอกว่า พระราหู ถูกจักรพระนารายณ์ กายขาดเป็น 2 ท่อน แต่ไม่ตายเพราะดื่มน้ำอมฤตของเทวดา คือรากฐานการเกิดสรรพสิ่งในโลกโดยมีเหตุอ้างอิงและปฏิเสธเรื่องพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
กล่าวกันว่าระบบโลกธาตุที่ถูกแสงอาทิตย์เผาไหม้ ลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศนั้น ถูกแรงเหวี่ยงของโลกซึ่งหมุนรอบตัวเองและโคจรไปรอบดวงอาทิตย์กดดันควบคุมให้วนเวียน มีลักษณะเป็นเกลียวส่ายไปมาในอากาศ แต่ดวงตาของเรามองไม่เห็น เรียกกันว่า พระเกตุ อยู่ตรงข้ามกับพระราหู เพราะเป็นเรื่องราวของโลกในภาคกลางวัน เช่นเดียวกับธรรมชาติในโลกที่คนเราต้องทำงาน หาอาหารจนค่ำมืดจึงพักผ่อนนอนหลับไปในภาคกลางคืน
หากเข้าใจธรรมชาติของพระเกตุ หรือหางพระราหูว่า โลกในภาคกลางวันคลื่นพลังแสงและความร้อนของดวงอาทิตย์ สร้างระบบธาตุให้แก่ชั้นบรรยากาศธาตุ เพื่อให้ดวงจันทร์ทำหน้าที่กลั่นกรองผสมธาตุบนชั้นฟ้าในเวลากลางคืน ต่อจากนั้นค่อยส่งแรงดึงดูดร่วมกับโลกแย่งชิงระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศป้อนให้แก่โลก ปรุงแต่งแปลงสภาพกลายเป็นธรรมชาติขึ้นในโลก ด้วยเหตุนี้ในภาคกลางวันโลกจำต้องพึ่งพาอาศัยแสงอาทิตย์ ในภาคกลางคืนโลกจำต้องพึ่งพาอาศัยแสงจันทร์ อานุภาพของแสงอาทิตย์แสงจันทร์และระบบธาตุนี่เอง คือรากฐานการกำเนิดสรรพสิ่งขึ้นในโลก นักโหราศาสตร์จึงสรุปกลไกอันซับซ้อนของความสัมพันธ์นี้ว่า อาทิตย์เป็นพ่อ จันทร์เป็นแม่ ราหูเป็นลูก
ดังนั้นตราบใดที่โลกยังเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ ตราบนั้นโลกยังต้องพึ่งพาอาศัยแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ เพื่อปรุงแต่งแปลงสภาพระบบธาตุให้เกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นในโลก
ชาวศรีวิชัยจึงสร้างสัญลักษณ์พระราหูอมจันทร์ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรู้ ความเข้าใจในจักรวาลทั้งระบบสุริยคติ และระบบจันทรคติอย่างแจ่มแจ้ง สามารถอธิบายให้เห็นถึงการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของวัฏจักร และวงจรชีวิต ทั้งแสดงให้เห็นว่าเหตุใดพราหมณ์จึงนับถือ ศิวลึงค์ และโยนีของพระแม่อุมาเทวี ก็เพราะว่าเขารู้เรื่องจักรวาลเป็นอย่างดี จึงแปลงสัญลักษณ์ของธรรมชาติเป็นเพศชายหญิงอันเป็นบรรพบุรุษของตนขึ้นกราบไหว้บูชา แต่หลักการอันเร้นลับถูกปกปิดไว้จนสำคัญผิดคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ สุริยุปราคา และจันทรุปราคา ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน แม้กระทั่งพระไตรปิฎกที่อ้างว่าผ่านการสังคายนากันมาหลายครั้ง ก็ยังจารึกเรื่องนี้ไว้อย่างไม่ถูกต้อง
ในที่นี้พระราหูอมจันทร์ แท้จริงแล้วเป็นภาพเชิงซ้อนของภาพพระราหูอมพระอาทิตย์กับภาพพระราหูอมพระจันทร์ ทับอยู่ในภาพเดียวกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่า โลก คือ พระราหู จำเป็นต้องได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ในตอนกลางวัน ได้รับแสงจากดวงจันทร์ในตอนกลางคืน โลกจึงบังเกิดสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติ
การเรียนรู้ธรรมชาติทำให้เราทราบถึงฤดูกาลและบังเกิดอารยธรรมอันสูงส่งขึ้นในโลก อย่างน้อยชาวนา ชาวสวน ก็รู้ว่าเมื่อไรจะถึงเวลาไถนาปักดำข้าวกล้า ควรเก็บเกี่ยวเมื่อไร ชาวทะเลทราบว่าเมื่อไรจะเกิดลมมรสุมไม่ควรนำเรือออกไปในทะเล หรือในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์นำวิชาความรู้มาสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะว่า พระราหู ไม่ใช่ยักษ์มารผีโขมดหรือความชั่วร้ายดังที่เข้าใจกันมา แต่พระราหูเป็นโลกของเรา เป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยสืบพันธุ์กันไปไม่มีที่สิ้นสุด สมดังคำกล่าวว่า พระราหู ได้กินน้ำอมฤตจึงไม่ตายเป็นอมตะและมีฤทธิ์จนเทวดาฟ้าดินยำเกรง
เรียบเรียงโดย
พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
(อดีต) ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เป็นไงครับ...อ่านแล้วคงได้คำตอบในประเด็นที่สงสัยกันแจ้งจางปาง ก็ต้องขอบคุณท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ที่เขียนอะไรดีๆ ไว้ให้เป็นวิทยาทาน ผมอ่านจบหายกลัวเลยรีบชักมู่ลี่ขึ้น แต่พอดีมันไปแล้ว...เลยเวลาอม แดดผีตากผ้าอ้อมแยงเข้ามาแจ๋เลย
แต่...เอ...ราหูอมพระอาทิตย์แบบนี้ ลอตเตอรี่ ๒ ตัววันนี้จะออกอะไรน้าาาา ราหูก็ ๘ พระอาทิตย์ก็ ๑ ส่วนอม น่าจะเป็น ๐ แต่อมไม่หมด เว้าๆ แหว่งๆ วงแหวนก็น่าจะ ๐ อีกน่ะแหละ แล้วคราสคราวนี้เกิดในเรือนมังกร เป็นเรือนที่ ๑๐ ลอตเตอรี่รัฐบาลไทยมีขายที่ไหนใบละ ๘๐ บาทบอกด้วย จะซื้อไปรวยซัก ๗๖,๐๐๐ ล้าน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น