วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

เฮติ..บทสอนใจมนุษย์


แผ่นดินไหว ภัยโลก ชุ่มโชคร้าย

คนล้มตาย สังเวย กรรมเกยก่อ

"เฮติ" ล้ม จมคว่ำ น้ำตาคลอ

โอ้ละหนอ ธรรมชาติ พิฆาตคน

บทสะท้อน สอนใจ ให้คนเห็น

โลกร่มเย็น หรือเข็ญใจ เหตุให้ผล

เมตตาธรรม นำทาง สว่างชน

บุญกุศล หนุนช่วย อำนวยชัย

แผ่นดินไหว ภัยโลก ชุ่มโชคร้าย

ยากทำนาย ยากป้องกัน การสั่นไหว

บุญประเสริฐ คุณธรรม เร่งทำไว้

โลกลูกใหญ่ ใจร้าย อาจไม่มี


สมเจตน์ สายแก้ว

................

กุญแจศักดิ์สิทธิ์

เรียน คุณสามวา สองศอก ที่เคารพ

ผมต้องขออภัยที่ไม่ได้เขียนจดหมายถึงคุณมาเป็นเวลาช้านาน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สนใจ หากมีงานอื่นที่ต้องทำเพิ่มมากยิ่งขึ้น

แม้กระทั่งเมื่อวันที่ 9-10 ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นมาได้ไม่นาน ผมได้นำเด็กๆ ชั้นมัธยมห้าของโรงเรียนรุ่งอรุณลงไปเกี่ยวข้าว ที่หมู่บ้านศรีอุทุมพรในจังหวัดนครสวรรค์ และไปนอนค้างคืนอยู่ที่นั่นด้วย ทั้งนี้ที่หมู่บ้านแห่งนั้นมีกลุ่มเกษตรกรที่น่าสนใจ เพราะเขาทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองจนกระทั่งตั้งเป็นชมรม

ถ้าไม่ลงไปนอนค้างอยู่ที่นั้นก็คงไม่รู้ความจริง ว่าหมู่บ้านแห่งนั้นซึ่งมีคุณนภัสเป็นหัวหน้ากลุ่ม และกำลังคิดจะจัดตั้ง "ศูนย์การเรียนรู้ ซึ่งเป็นของชาวบ้านเอง"

ผมไปสาธิตการใช้จอบฟันดินให้บรรดาเด็กๆ ได้เรียนรู้ แม้จอบมันจะมีน้ำหนักมาก แต่เราก็มีศิลปะที่จะใช้น้ำหนักของจอบ เปลี่ยนมาเป็นพลังงานในการฟันดิน

เราได้ไปพบข้าวที่กำลังตกรวง แทนที่จะมีเมล็ดสมบูรณ์เปล่งปลั่ง ให้เป็นผลตอบแทนแก่การลงทุนของชาวนา หากกลับกลายเป็นเมล็ดลีบที่มีแต่เปลือกมากมาย เพราะถูกเพลี้ยกระโดดลงทำลายอย่างกว้างขวาง

นอกจากนั้นสิ่งที่น่าเศร้าใจมากๆ ก็คือระบบการผลิตและการลงทุน ซึ่งเป็นเพราะเราใช้ทฤษฎีการจัดการตามก้นฝรั่ง ซึ่งตัวเราเองคงเห็นแต่ผลสำเร็จรูป มากกว่าการได้เรียนรู้สิ่งที่มันอยู่เบื้องหลังกว่าจะมาถึงตรงนี้ ครั้นมาเห็นการลงทุนก็ดี การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ก็ดี รวมทั้งการปราบศัตรูพืช ซึ่งรวมกันแล้วคือการลงทุนที่มันมากกว่าแต่ก่อนอย่างมากมาย

ดังนั้นการส่งคนไปเรียนจากเมืองนอกนี่แหละ มาถึงปัจจุบันมันค่อยสั่งสมเอาความไม่รู้ ซึ่งเป็นอดีตมาทีละเล็กละน้อย ยิ่งคนที่ไปเรียนในช่วงปัจจุบัน ก็ย่อมสะสมเอาข้อมูลทางวัตถุกลับมามากมายมหาศาล มาถึงช่วงนี้แม้เพียงเรื่องราวนิดๆ หน่อยๆ มันจึงทำให้ชาวนาชาวไร่ต้องล้มทั้งยืนก็ว่าได้

นี่แหละครับที่เป็นตัวอย่างของรูปธรรม ซึ่งผมพร่ำพูดแล้วพูดอีกว่า "ขอให้คนที่ขึ้นไปเสวยอำนาจอยู่ด้านบน ได้ลงมาใช้ชีวิตอยู่กับชาวบ้านซึ่งเป็นคนระดับล่าง ยิ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรผู้ถือเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ ในระดับพื้นฐานของประเทศด้วยแล้ว"

ผู้ที่รับผิดชอบในการบริหารประเทศ ซึ่งน่าจะช่วยให้ประเทศชาติไปได้รอดปลอดภัยนั้น คงไม่เพียงแต่พูดหากต้องทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมาให้ได้ เพราะการนำปฏิบัตินั้นอำนวยประโยชน์ให้แก่การปฏิบัติงานอย่างกว้างขวาง

สิ่งที่สำคัญที่สุด การทำงานลงสู่ด้านล่างหากเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ด้านบน ซึ่งควรจะรับผิดชอบต่อผลได้ผลเสียของสังคม ย่อมรู้ความจริงได้ด้วยตนเอง แทนที่จะนั่งอยู่ข้างบนแล้วถูกคนข้างล่างแหกตาหลอก เพราะความจริงนั้นมันอยู่ด้านล่างอย่างเป็นธรรมชาติ

ผมจึงพร่ำพูดมานานแสนนานแล้วว่า "การแก้ปัญหาสังคม แม้แต่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น มันมีกุญแจที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่เพียงดอกเดียว" นั่นก็คือการลงมาอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวบ้าน ย่อมทำให้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้านล่างซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ เกิดพลังจากจิตใจตนเองอย่างมหาศาล ช่วยให้ใช้เงินน้อยลงไป ทั้งนี้เพราะมนุษย์มีพลังภายในจิตใจซึ่ง "ยิ่งใช้ก็ยิ่งเพิ่ม"

ที่ผมพูดเช่นนี้ ถ้าผมไม่พบด้วยตัวเองก็คงไม่นำมาพูดด้วยความมั่นใจเช่นนี้หรอกครับ

ผมขอบอกตามตรงว่า โบราณเขาพูดกันมานานแสนนานแล้วว่า ผู้บริหารซึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะชี้นิ้วสั่งการภายในห้องแอร์ฯ ยิ่งทำงานบ้านเมืองก็ยิ่งทรุดหนักยิ่งขึ้น หรือจะรอให้แผ่นดินมันลุกเป็นไฟเสียก่อน ยิ่งนองเลือดก็ยิ่งสะใจใช่หรือเปล่า

ผมกราบเท้าขออภัยนะครับ ถ้าเขียนอะไรไปแล้วมันไม่สุภาพ ถ้ามัวเขียนสุภาพเรียบร้อยแล้วคุณไม่ยอมลุกขึ้นมายืนหยัด เพื่อต่อสู้กับปัญหาของชาติบ้านเมือง เมื่อนั้นแหละครับถ้าบ้านเมืองมันล่มสลาย ไม่ใช่คุณคนเดียวเท่านั้นที่ต้องตาย ผมกับพี่น้องไทยอีกเป็นจำนวนมากก็ต้องตายไปด้วย ถ้าไม่ถูกฆ่าตายก็อาจตายเพราะการสูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นคนไทย ให้ต้องอับอายแก่ชาวโลก

นอกจากนั้น สิ่งที่ผมพูดผมเขียนอยู่ในขณะนี้ ผมได้ทำมาแล้วและเห็นประจักษ์ชัดแล้วว่ามันแก้ปัญหาได้แน่นอน ถ้าคุณไม่ดูถูกชาวบ้านว่าเขาไม่มีจิตใจเหมือนอย่างคุณ อย่างที่กล่าวกันว่า "ขอให้เห็นใจคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยากอยู่ในปัจจุบัน"

แม้ในขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้ ผมได้รับโทรศัพท์จากชาวบ้าน แม้ว่าจะอยู่ไกลแสนไกลถึงชายแดนไทยพม่าที่อยู่ภาคใต้ของประเทศ เขาโทรศัพท์เข้ามาหาผมด้วยความเดือดร้อน เพราะที่นี่เดือดร้อนที่อื่นก็ย่อมเดือดร้อนเป็นสัจธรรม

เขาพูดออกมาจากใจว่า เขาไม่สู้แล้วคนที่มารังแกพวกเขา เพราะต้องการผลประโยชน์ใส่ตน ทั้งๆ ที่ผมตอบไปว่า "เราเป็นคนไม่สู้ไม่ได้ ถ้าไม่สู้มันก็ไม่สมศักดิ์ศรีของความเป็นคน"

ท่านครับ คนที่เขาเดือดร้อนถึงระดับหนึ่งย่อมพูดความจริงทั้งนั้น ส่วนคนที่ไม่เดือดร้อนนี่ซิ ถ้ามาพูดเราก็ต้องสงสัยไว้ก่อน

สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ผมเชื่อยิ่งกว่าเชื่อเสียอีกว่ามันเป็นความจริง เพราะผมไปร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กับเขา แม้จะไกลแสนไกล แม้จะลำบากแค่ไหนผมก็ยิ่งต้องไป เพราะที่นั้นมันคือข้อมูลที่เป็นความจริงยิ่งกว่าจริงเสียอีก

ถ้าคุณไม่เปิดใจรับฟังสิ่งที่ผมกล่าวมาแล้วทั้งหมด ระวังมันจะสายเกินแก้

ขอกราบเท้าอภัยด้วยนะครับ ว่าไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาเขียน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็อายุ 88 ปีแล้ว แต่เพราะได้รู้ได้เห็นภัยของบ้านเมือง ที่มันกำลังแฝงตัวอยู่แทบทุกหัวระแหง และพร้อมที่จะระเบิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ หรือว่าจะรอให้มันระเบิดเสียก่อน แล้วคุณก็ลุกหนีไปอย่างไม่รับผิดชอบ ถ้าเช่นนั้นผมก็คงไม่รู้จะว่ายังไงอีกแล้ว ยิ่งปัญหาคอรัปชั่นด้วย เวลานี้มันลามเข้ามาอยู่ในสถาบันการศึกษา เมื่อเกิดขึ้นในสถาบันไหน ก็ย่อมเกิดขึ้นในแทบทุกๆ แห่งโดยไม่มีการยกเว้น

รื่องนี้พิสูจน์ได้จากการพูดการเขียนความจริง จากคนที่ทำงานอยู่ด้านล่าง ซึ่งคนที่อยู่ด้านบนสื่อกันไม่ได้ เพราะความคิดและจิตใจจากคนด้านบนที่ไม่ลงมาอยู่ด้านล่างนี่แหละครับ ในที่สุดแม้แต่การคอรัปชั่นเราก็คุมได้ยาก นอกจากบานปลายออกไปทุกขณะ ถ้ามันเข้าไปอยู่ในสถาบันการศึกษา บ้านเมืองมันก็หมดสิ้นแล้ว

ผมต้องกราบเท้าขออภัย ถ้าพูดอะไรแรงเกินไปขออย่าได้ถือสาครับ สำหรับคนที่มองลงมาจากข้างบนแล้ว อาจเห็นว่าผมเป็นคนต่ำต้อยอย่างที่สุด เพราะอยู่ด้านล่าง

ระพี สาคริก

ตอบ อาจารย์ระพี

ปีนี้อายุอาจารย์ก็ย่างเข้า 88 ปีแล้ว แต่อาจารย์ก็ยังต้องเหน็ดเหนื่อยลงไปสัมผัสกับชาวบ้านผู้ทุกข์ยากเพื่อหาทางแก้ปัญหาให้ เพราะอาจารย์ถือว่าการแก้ปัญหาที่ถูกต้องและประหยัดที่สุด คือการที่คนที่อยู่ข้างบนลงไปหา ลงไปคลุกคลีอยู่กับคนข้างล่าง ให้ไปยืนอยู่บนพื้นดินเดียวกัน ปัญหาทุกอย่างก็จะคุยกันรู้เรื่อง

แต่ทุกรัฐบาลที่ผ่านมารวมทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน นิยมการแก้ปัญหาด้วยการใช้เงินแทนที่จะใช้ปัญญา อย่างเช่นปัญหาการจราจรที่คับคั่ง แทนที่รัฐบาลจะแก้ปัญหาด้วยการใช้นโยบายต่างๆ อาทิ การควบคุมปริมาณรถยนต์ที่วิ่งบนถนน ด้วยการกำหนดอายุการใช้งาน

แต่บ้านเรารถเก่ากี่สิบปีก็ยังวิ่งได้ ขณะที่รถใหม่ก็ออกมาทุกวันเพราะบริษัทผลิตรถยนต์เป็นนายทุนใหญ่ของรัฐบาล แล้วจะเอาถนนที่ไหนไปให้รถวิ่งพร้อมๆ กัน

การจำกัดรถบนท้องถนนด้วยการใช้เลขท้ายทะเบียนรถ วันคู่ให้รถทะเบียนที่ลงท้ายด้วยเลขคู่วิ่ง วันคี่ให้รถทะเบียนที่ลงท้ายด้วยเลขคี่วิ่ง แค่นี้รถก็จะหายไปจากถนนครึ่งต่อครึ่ง แต่ถ้าใช้นโยบายนี้รัฐบาลจะถูกด่า

หรือจำกัดรถด้วยการบังคับให้รถทุกคันต้องมีที่จอดรถ ไม่ใช่ซี้ซั้วนำรถไปจอดขวางที่หน้าบ้านตัวเอง บ้านไหนไม่มีที่จอดรถก็ไม่อนุญาตให้ซื้อรถ นโยบายนี้ก็ถูกด่าอีกนั่นแหละ

สู้แก้ปัญหาด้วยการทุ่มงบประมาณตัดถนน สร้างสะพานลอย สร้างอุโมงค์ลอดถนน สร้างรถไฟฟ้า สร้างทุกอย่างที่ขวางหน้าเพื่อให้ได้เงินงบประมาณมาถลุง

คุณอภิสิทธิ์อาจจะไม่นิยมการแก้ปัญหาแบบอาจารย์ระพี จึงไม่มีการขานรับข้อเสนอที่อาจารย์เสนอแล้วเสนออีก ถือว่าเป็นกรรมของประเทศไทยก็แล้วกัน

สามวา สองศอก

ไม่มีความคิดเห็น: