วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

"ครูแก้ว อัจฉริยะกุล" คีตกวีรัตนโกสินทร์ (2) : อัจฉริยะครูเพลง
โดย คีตา พญาไท 3 กุมภาพันธ์ 2553 20:39 น.
ส่วนในเรื่องของการแต่งเพลงนั้น มีเรื่องเล่ากันว่า ครูแก้ว อัจฉริยะกุล ส่อแววความสามารถ มี อัจฉริยะ มาตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ที่ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน อีกเช่นกัน โดยเฉพาะเพื่อนๆ ร่วมห้องที่เรียนอยู่ด้วยกัน จะรู้ดีว่า...

ครูแก้ว อัจฉริยะกุล สามารถร้องเพลงจากละคร เรื่อง จันทร์เจ้าขา ของ พรานบูรพ์ ได้อย่างขึ้นใจ ทั้งๆ ที่ ไม่ได้เข้าไปดูด้วยตนเองเลยสักครั้งเพราะตั๋วหมด เมื่อเพื่อนๆ สงสัย จึงพากันไปถาม ก็ได้รับคำตอบ จาก ครูแก้ว อัจฉริยะกุล ว่า“ไม่เพียงแต่ร้องได้ เท่านั้น เพลงแบบนี้ ยังแต่งได้อีกด้วย”

เมื่อถึงช่วงจะปิดเทอมใหญ่ปลายปี โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ก็เตรียมจัดกิจกรรมครั้งสำคัญ คือการแสดงละครของคณะนักเรียน โดยไปขอบทละครจาก ครูพรานบูรพ์ ที่กำลังมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในครั้งนั้น ซึ่งก็ประสบความสำเร็จตามที่คาดหมาย

ใน หนังสือ แก้วฟ้า ๖๐ ครูพรานบูรพ์ เขียนเล่าเอาถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า
“’...เมื่อผมได้รู้จัก แก้วฟ้า ผมก็ยินดี ที่ได้รู้จักนักเขียนนักแต่งรุ่นหนุ่มรุ่นน้อง และเมื่อเรารู้จักกันแล้วว่า มาในแนวเดียวกัน เราก็คุยกันต่อถึงการประพันธ์เรื่อยเฉื่อยไปถึงสถานศึกษา แก้วฟ้า บอกว่า เขาเป็นโอลด์บอย ของ บี.บี.ซี. หมายถึงเป็นศิษย์เก่าของ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ทำให้ผมรำลึกถึงความหลังครั้งหนึ่ง ซึ่งผมได้มีส่วนร่วมในงานรื่นเริงประจำปีของโรงเรียนนั้น

วันหนึ่ง เมื่อสี่สิบปีก่อนโน้น ผมไปเยี่ยม ส.เทพกุญชร เพื่อนนักเขียน บ้านอยู่หลังศาลเจ้าบ้านหม้อ บังเอิญมีเด็กนักเรียนรุ่นใหญ่ของ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันในหมู่บ้านแถบนั้นมาร่วมเยี่ยมอยู่ด้วย

เมื่อรู้ว่าผมเป็นใคร เขาก็เลยขอร้องให้ผมเขียนบทละครง่ายๆ พอที่เด็กนักเรียนจะแสดงได้ เพื่อเขาจะได้เอาไปให้ครูฝึกนักเรียนเพื่อนๆ ออกแสดง ในงานรื่นเริงปิดเทอมปลายของโรงเรียน

เวลานั้น ผมมีบทละครที่เขียนไว้แล้ว เป็นเรื่องตลกสองเรื่อง เรื่องหนึ่งเป็นบทละครเพลง ให้ชื่อ จับแพะชนแกะ อีกเรื่องหนึ่งเป็นบทละครพูด มีเพลงประกอบเล็กน้อย ชื่อ เรื่องขมิ้นกับปูน เห็นพอจะให้เด็กนักเรียนฝึกออกแสดงได้ เพราะนักเรียนมีเวลาฝึกซ้อมมาก ยิ่งเป็นบทละครพูดก็ยิ่งสะดวก เพราะเด็กจะขยันท่องบทจนขึ้นใจ ไม่ต้องบอกบท ช่วยให้บทบาทการแสดงออกได้สนิทสมจริงยิ่งขึ้น ผมจึงมอบบท ขมิ้นกับปูน ให้ไป

เสียดายไม่ได้ไปดูการแสดงในงานนั้น แต่ก็ได้ข่าวชมเชยว่า เด็กนักเรียนรุ่นนั้นแสดงได้ดียิ่ง

...นักเรียนพวกที่มาขอไปแสดงได้มากล่าวขอบคุณผม คนในกลุ่มนั้นได้พูดเชิงสนุกขบขันให้ผมฟังว่า มีเพื่อนสัปดนคนหนึ่งของเขาบอกว่า

“เฮ้ย เพลงอย่าง พรานบูรพ์ นี่เรอะ กูก็แต่งได้วะ”

ผมก็ว่า “ดีซิ ถ้าเขาแต่งได้จริง จะได้มีนักแต่งเพลงใหม่ๆ ให้เราได้ฟังกัน เขาชื่ออะไร ล่ะ”

“มันชื่อ ไอ้แก้ว ครับ” เสียงตอบ

ทันใดนั้นเอง แก้วฟ้า ก็ผุดลุกขึ้น หัวเราะลั่น

“ผมนี่ละ ไอ้แก้ว เด็กสัปดน คนนั้น”

ในเวลาต่อมา เมื่อมีผลงานและชื่อเสียงมากขึ้นในด้านการละครและวงการเพลง ครูแก้ว อัจฉริยะกุล ก็เป็นตัวตั้งตัวตี จัดแสดงละคร เรื่อง จอมมาร ขึ้น เพื่อหาเงินรายได้เป็นกองทุนในการก่อตั้ง สมาคมศิษย์เก่า โรงเรียนกรุงเทพ

คริสเตียน โดยเป็นผู้ประพันธ์บทเอง ทั้งยังติดต่อกับ คณะละครเทพศิลป์ และ วงดนตรีสุนทราภรณ์วงใหญ่ ของ ครูเอื้อ สุนทรสนาน โดยมี ร.ต.อ.ยอดยิ่ง สุวรรณนาคร เป็นผู้แสดงนำ จนเป็นผลสำเร็จเกิน

ครูแก้ว อัจฉริยะกุล เริ่มฉายแววการเป็นนักประพันธ์ มาตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๖ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน โดยเขียนเรื่องสั้น เรื่อง นาถจ๋า ใน หนังสือพิมพ์ กรุงเทพเดลิเมล์ ซึ่งมี เทพ มหา
เปารยะ เป็นหัวเรือใหญ่คุมทีมอยู่ในยุคนั้น

เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๘ อันเป็นชั้นสูงสุดของ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน แล้ว ครูแก้ว อัจฉริยะกุล ต้องการที่จะไปเรียนต่อที่โรงเรียนนายเรือ แต่ไม่ผ่านการตรวจโรค เนื่องจากสายตาไม่ดี จึงหันเข็มที่จะไปเรียนต่อในต่างประเทศ เพราะมีมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาหลายแห่ง รับรองวุฒิบัตรการศึกษาจาก โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน โดยไม่ต้องไปเริ่มต้นเรียนใหม่

แต่ในขณะนั้น บิดากำลังป่วยหนัก จึงขอให้ ครูแก้ว อัจฉริยะกุล ไปเรียนกฎหมายที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

และการเมือง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแทน แล้วสมัครเข้าทำงานที่ กรมไปรษณีย์โทรเลข ในเวลาเดียวกันด้วย ซึ่งไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งใดๆเลย แต่ ครูแก้ว อัจฉริยะกุล ก็ทำงานอยู่ที่นี่นานถึง ๑๔ ปี จึงลาออกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ทำให้มีโอกาสได้แต่งเพลงประกอบละครวิทยุให้กับ ละครวิทยุ คณะจิตต์ร่วมใจ ของ จิตเสน ไชยาคำ คณะปัญญาพล ของ เพ็ญ ปัญญาพล จึงได้รู้จักคุ้นเคยกับ ครูเวส สุนทรจามร ที่ตั้งละครวิทยุ คณะสุนทรจามร โดยเป็นผู้แต่งคำร้องเพลงประกอบละครให้ โดยมี ครูเวส สุนทรจามร เป็นผู้แต่งทำนอง ตั้งแต่นั้น เรื่อยมา

ต่อมา เมื่อผลงานด้านการแต่งเพลงประกอบละครวิทยุ คณะสุนทรจามร ของ ครูแก้ว อัจฉริยะกุล และ ครูเวส สุนทรจามร ได้รับความนิยมจากประชาชนผู้ฟังมากขึ้น เพื่อเป็นการเผยแพร่ ผลงานให้กว้างขวางออกไปเป็นที่รู้จักมากขึ้น และเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง ครูเวส สุนทรจามร จึงปรึกษากับ ครูแก้ว อัจฉริยะกุล ที่จะเอาเพลงประกอบละครวิทยุ คณะสุนทรจามร ที่ร่วมกันแต่ง ไปขายให้กับห้างแผ่นเสียงเพื่อบันทึกเสียง

ในเรื่องนี้ ครูเวส สุนทรจามร เขียนเล่าเอาไว้ว่า
“...ในระหว่างที่ข้าพเจ้ารับราชการในกรมนี้ ( กรมมหรสพ กระทรวงวัง ) นั้น เวลากลางคืน ข้าพเจ้าก็ได้งานทำใหม่ที่ บาร์ห้อยเทียนเหลา ซึ่ง นายซิเกร่า ( บิดาของ อาจารย์แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ ) เป็นหัวหน้าวง เริ่มเล่นเพลงแจ๊ส ในเวลานั้น บาร์ใหญ่ๆอยู่ ๒ บาร์ คือ ห้อยเทียนเหลา กับ สยามโฮเต็ล เท่านั้น

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้าพเจ้าก็ตั้งคณะละครวิทยุขึ้น ชื่อ คณะสุนทรจามร ซึ่งมี แก้วฟ้า และ จิตเสน ไชยาคำ ร่วมกันด้วย จิตเสนไชยาคำ เป็นผู้ประพันธ์เรื่อง แก้วฟ้า เป็นผู้ประพันธ์คำร้อง ข้าพเจ้าเป็นผู้แต่งเพลง ( ข้าพเจ้าเลยกลายเป็น นักแต่งเพลง ไปตามความจำเป็น )

ในเวลาต่อมา ข้าพเจ้ากับ แก้วฟ้า ก็คิดกันว่า เราแต่งเพลงส่งสถานีวิทยุมามากแล้ว เราเน่าจะอาเพลงของเราไปขายเพื่ออัดเป็นแผ่นเสียง ในที่สุด เราก็ขายให้ นาย ต. เง็กชวน บ้าง นายเตียง โอศิริ บ้าง

ราคาในเวลานั้น ขายเพียงเพลงละ ๓๐ บาท พร้อมทั้งนักร้อง นักดนตรีด้วย

ถ้าจะอัดกับ นายเตียง จะต้องเสียค่านายหน้าให้กับ นายเตียง อีก เพลงละ ๕ บาท...”
ครูเวส สุนทรจามร เขียนเล่าต่อไปอีกว่า

“...แก้วฟ้า กับข้าพเจ้า ได้ร่วมกันแต่งเพลง คือข้าพเจ้าแต่งทำนอง แก้วฟ้า แต่งคำร้อง ร่วมกัน ทำมาเป็นเวลาหลายปี และเวลาต่อมา แก้วฟ้า ก็ได้ไปแต่งคำร้องให้แก่ วงดนตรีสุนทราภรณ์ อีก เป็นจำนวนมาก ซึ่งท่านคงจะได้ยินเพลงที่ แก้วฟ้า แต่งไว้จากสถานีวิทยุทุกวัน

เพลงที่ แก้วฟ้า แต่งไว้นั้น ส่วนมากจะเป็นคติสอนใจคนเป็นส่วนใหญ่ จึงนับว่า แก้วฟ้า ได้ทำประโยชน์ให้แก่สังคมไว้เป็นอันมาก...”

ครูเวส สุนทรจามร เขียนบอกถึง ความเป็นตัวตนเอาไว้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ว่า
“...ชีวิตข้าพเจ้า เริ่มต้นเป็นนักดนตรี และเวลาต่อมาเป็นนักพากย์หนัง และเป็นนักแสดงละครวิทยุ เป็นนักประพันธ์เพลงไทยสากล ( ที่ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเป็นนักประพันธ์เพลงไทยสากลนั้น ข้าพเจ้ามิได้คิดว่า จะเป็นนักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่ก็หาไม่ ถ้าจะเอาไปเปรียบ โมสาร์ท แล้ว ข้าพเจ้าคิดว่า มันไกลกันลิบลับ เทียบกันไม่ได้ )

ข้าพเจ้าเป็นนักประพันธ์เพลง เพื่อข้าวสารกรอกหม้อเท่นั้นเอง มิได้คิดว่าจะใหญ่โต หรือเก่งกว่าใครๆ หามิได้...” (อ่านต่อสัปดาห์หน้า)















ไม่มีความคิดเห็น: