วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สกู๊ปแนวหน้า
ไล่ที่ เปลี่ยนชีวิต...ปิดสนามหลวง "คนไร้บ้าน"ชีวิตที่แทรกในสังคมเมือง

"ปิดสนามหลวง"

บิ๊กโปรเจกท์ของ"กรุงเทพมหานคร" (กทม.) ที่อัดเม็ดเงินกว่า 180 ล้านบาท เพื่อปรับปรุง โฉม "ทุ่งพระเมรุ"ครั้งใหญ่ให้ "สวยปิ๊ง" เพราะที่ผ่านมา "เละ" เหลือหลาย ทั้งปัญหาค้าบริการ ทางเพศ อาชญากรรม และขยะ กทม.มีกำหนดปิดสนามหลวง 300 วัน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พ.ย. 2553

ภารกิจแรกที่ต้องดำเนินการคือ "ไล่" ทุกๆ ชีวิตสถิตย์ ณ สนามหลวง ให้พ้นออกไป ไม่ว่าจะเป็น คนไร้บ้าน กว่า 600 ชีวิต หาบเร่แผงลอยอีกเกือบ 1,500 ชีวิต และ นกพิราบ จำนวน นับหมื่นตัว

นับจากวินาทีนี้ ทุ่งพระเมรุ ไม่ใช่ที่ๆ พวกเขาและพวกมัน จะใช้ซุกหัวนอน และหากิน ได้ อีกต่อ ไป !!

การปฏิวัติสนาหลวง ครั้งนี้ กทม. เลือกที่จะแก้ปัญหา ผู้ค้าหาบเร่ แผงลอย โดยได้เตรียมพื้นที่ริมคลองหลอด ด้านทิศเหนือ และทิศใต้ ให้ขายของหาเลี้ยงชีพ

ขณะที่ นกพิราบ ในฐานะที่ไม่มีปาก มีเสียง จะถูกจับใส่กรงไปเลี้ยงในพื้นที่กรมทหารสื่อสาร จังหวัดราชบุรี ทว่าปัญหาที่น่าห่วงคือ "คนไร้บ้าน" เพราะยังไม่มีที่หลับนอนชัดเจน แม้หลายฝ่ายพยายาม หาที่อยู่ให้ใหม่ แต่คำถามสำคัญคือ คนไร้บ้าน เหล่านี้ เคยทำมาหารับประทาน ที่สนามหลวงเมื่อวิถี ชีวิตเปลี่ยน พวกเขาจะอยู่รอดได้หรือไม่...อย่างไร ?

บางครั้งหนทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน นั่นคือการเข้าไปในโลกของ "คนไร้บ้าน" เพื่อให้เข้า ใจถึงรูปแบบชีวิตของพวกเขา ที่กำลังเป็นอยู่ และเป็นไป

ข้อมูลจาก "มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย" (มพศ.) ระบุว่า ผลสำรวจสภาพปัญหาและจำนวนคน
ไร้บ้านในเขต กทม. ในช่วง ม.ค. 2553 ตามพื้นที่จุดสำคัญทั่วกรุงเทพฯ 19 จุด อาทิ ย่านหัวลำโพง สนามหลวง ริมคลองหลอด รอบหมอชิต จตุจักร สะพานควาย พระรามหก และสะพานพุทธ ตั้งแต่เวลา 22.00- 02-00 น. พบว่ามีคนไร้บ้าน 1,092 คน มีอายุตั้งแต่ 1 - 60 ปี แบ่งเป็นเพศชาย 923 คน เพศหญิง 140 คน เด็กอีก 29 คน ส่วนใหญ่มีอาชีพเก็บของเก่า ค้าขาย รับจ้างขอทาน มีทั้งแบบอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวและอยู่คนเดียว

โดยผลสำรวจในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันคนไร้บ้านในกรุงเทพฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากเดิมที่พบในปี 2544 เพียง 630 คน ขณะ ที่ช่วงวัยของการมาเร่ร่อน ไร้บ้าน ก็มีอายุน้อยลง !! สอดคล้องกับข้อมูล วิทยานิพนธ์เรื่อง "เปิดพรมแดน โลกของคนไร้บ้าน" โดย บุญเลิศ วิเศษปรีชา ซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ ในโครงการพัฒนาระบบสวัสดิการสำหรับคนจนและคนด้อย โอ กาส ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ( สกว.)

ในวิทยานิพนธ์ ของบุญเลิศ เน้นศึกษาผู้ที่หลับนอนในที่สาธารณะเป็นเวลานานมากกว่า 3 เดือน ที่ ไม่ใช่คนวิกล จริต ไม่ใช่ผู้ที่เพิ่งเดินทางจากต่างจังหวัด เขาใช้วิธี การสัง เกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม ลงไปใช้ชีวิตร่วมกับคนไร้บ้าน เพื่อทำความเข้าใจถึงวิธีคิด มุมมอง ความ สัมพันธ์ทางสังคม วัฒนธรรม ทำให้ได้ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ คือ...

1. กว่าจะมาเป็นคนไร้บ้าน พบว่า กว่าที่คนเหล่านี้จะเข้าสู่ภาวะคนไร้บ้านนั้น มาจากสาเหตุที่ซับซ้อน โดยในด้านปัจจัยส่วนบุคคล อาจมาจากสาเหตุหลัก 5 ประการ คือ ความเปราะบางของสถาบันครอบครัว ภาวะไม่มีงานทำ คนที่พ้นโทษจากเรือนจำและไม่มีที่ไป คนที่สุขภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ และสุดท้ายคือผู้สมัครใจที่จะเป็นคนไร้บ้าน

ทั้งนี้ความเปราะบางของสถาบันครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญที่แทรกซ้อนอยู่ในอีก 4 ปัจจัยต่อมา ยกตัวอย่างเช่น ลำพังคนตกงาน หรือคนพิการ ถ้ามีเครือญาติสนับสนุนก็อาจไม่ต้องมาเป็นคนไร้บ้าน ส่วนคนที่เคยมีคดีติดตัว ก็มักจะเป็นคนที่ครอบครัวมีปัญหามา

อย่างไรก็ตามกว่าที่พวกเขาจะยอมรับการใช้ชีวิตข้างถนนนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทัน ทีทันใด หากต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับตัว จากภาวะที่หวาดกลัว รังเกียจ การใช้ชีวิตข้างถนน พยายามดิ้นรนหางานทำ แต่เมื่อไม่สามารถทำได้ จึงค่อยๆปรับตัว พร้อมๆกับความหวังที่น้อยลง และเริ่มใช้ชีวิตประจำวัน เหมือนกับคนไร้บ้าน เพราะความจำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพในแต่ละวัน จึงไม่สามารถใช้เวลาไปกับการสมัครงาน และในที่สุดจึงยอมรับสถานะการเป็นคนไร้บ้านของตัวเอง ชีวิตของคนไร้บ้าน จึงเป็นชีวิตที่ต้องปรับตัวแทรก อยู่ตามช่องว่างของเมืองใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดได้

2. การใช้ชีวิตรอดบนท้องถนน เมื่ออยู่ในภาวะคนไร้บ้าน สิ่งแรก ๆ ที่พวกเขาต้องเรียนรู้ และปรับตัว ก็เริ่มตั้งแต่เรื่องทั่ว ๆ ไป ได้แก่ การเลือกที่นอน คนไร้บ้านก็หวั่นเกรงอันตรายไม่ต่างจากคนทั่วไป คนไร้บ้านส่วนใหญ่ที่เป็นคนสุจริต จะเลือกนอนในที่สว่างเพราะจะปลอดภัย

ส่วน การหาเลี้ยงชีพของคนไร้บ้าน ในกลุ่มที่ไม่มีอาชีพประจำ หรือที่เรียกว่า "ผี" ที่มีชีวิตอยู่รอดได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า สวัสดิการสังคมนอกภาครัฐ คือ หากินข้าววัด และเนื่องจากการใช้ชีวิตรอดในเมืองจำเป็นต้องมีเงินติดกระเป๋า วิธีการหาเงินง่าย ๆ ของพวกเขาคือสะสมกระ ป๋อง อะลูมีเนียมขาย รับจ้างรายวัน แจกใบปลิว ฯ นอกจากนี้ วิธีการหาเลี้ยงชีพที่พบมากในกลุ่มคนไร้บ้าน ก็คือ คนเร่ขายของตามงานวัด เก็บของเก่า ให้เช่าพระ และยังมี อาชีพในด้านมืด ตั้งแต่ ขายบริการทางเพศ คนมือไวลักขโมย

ดังนั้น การที่สังคมมองคนไร้บ้านแบบเหมารวมเหมือนๆ กันหมด จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่หลากหลาย ในหมู่คนไร้บ้าน

3. วังวนของชีวิตคนไร้บ้าน มีคนไร้บ้านไม่มากนักที่หลุดพ้นจากภาวะไร้บ้าน หลายคนยังเป็นคนไร้บ้านเหมือนเดิม ไม่ยอมกลับบ้าน ไม่กลับภูมิลำเนาเดิม โดยมูลเหตุสำคัญเป็นเพราะปัญ หา ครอบครัว การจะให้เขากลับบ้าน จึงเป็นเหมือนการผลักให้เขากลับไปหาสิ่งที่เขาหลีกหนีมา และเงื่อนปมสำคัญ ที่ทำให้คนไม่อยากกลับบ้านก็คือ การไม่อาจทำใจยอมรับที่จะกลับบ้านอย่างผู้แพ้ กลับไปตัวเปล่า ไม่อาจตั้งเนื้อตั้งตัวได้ มากไปกว่านั้น บางคนเป็นคนไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีญาติพี่น้อง แม้แต่บัตรประชาชน ชื่อจริงก็ยังไม่มี อย่างไรก็ตาม สำหรับคนไร้บ้านแล้วพวกเขา ไม่ใช่คนที่ไม่คิดถึงอนาคตของตัวเอง เพียง แต่ความหวังพวกเขาเหลือน้อยลงมาก จนไม่คิดว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้

ข้อมูลในวิทยานิพนธ์ ยอมรับว่าจะมีคนจำนวนหนึ่งที่เลือกใช้ชีวิตข้างถนน ไม่ต้องการความช่วยเหลือที่ใครจะหยิบยื่นให้ ดังนั้น สังคมต้องเตรียมใจยอมรับว่า ไม่อาจดึงคนทุกคนออกจากท้องถนนได้

ดังนั้นสิ่งที่งานศึกษานี้ให้ข้อเสนอเบื้องต้นสำหรับการจัดการปัญหาคนไร้บ้าน ประการแรกคือ...

รัฐและสังคมมองคนไร้บ้านอย่างยอมรับมากขึ้น เราจะเห็นคนที่สุขภาพร่างกายและจิตใจปกตินอนข้างถนนมากขึ้น ซึ่งพวกเขาไม่ใช่มิจฉาชีพ ไม่ใช่คนที่เพิ่งมาจากต่างจังหวัด พวกเขาเป็นรูปการณ์ใหม่ของคนจนเมืองที่ยิ่งกว่า คนสลัม หรือคนใต้สะพาน ถ้ารัฐไม่หนุนช่วยเขาก็ไม่ควรให้เขาต้องลำบากไปกว่าเดิม

สิ่งที่ควรทำได้ง่ายที่สุด ก็คือ จัดให้มีแสงสว่างในที่สาธารณะให้เขาได้นอนอย่างปลอดภัย อย่าไล่ให้เขาต้องไปนอนในมุมอับ หรือจัดห้องน้ำสาธารณะอย่างทั่วถึงและครอบคลุมเวลากลางคืน แต่ถ้าจะจัดสวัสดิการที่อยู่อาศัย ในลักษณะที่พักพิง ( shelter ) เพื่อแลกกับความเป็นระเบียบของเมือง ก็ควรศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศ ที่คนไร้บ้านจำนวนหนึ่ง ไม่อยากอยู่ เพราะขาดความเป็นส่วนตัว ถูกควบคุมสูง จึงต้องมีการจัดการอย่างยืดหยุ่น และจำแนกไม่ให้คนที่มีพฤติกรรมเป็นปัญ หา เช่น ดื่มสุราเมามาย ทะเลาะวิวาท ลักทรัพย์ เป็นที่เดือดร้อนกับผู้อื่น เข้ามาอยู่ปะปน

สิ่งที่ควรจะทดลองและริเริ่มอีกประการก็คือ การจัดให้มีห้องเช่าราคาถูกรายวัน จะรองรับคนได้จำนวนหนึ่ง ที่พร้อมจะจ่ายค่าเช่าในราคาถูก และเป็นการให้สวัสดิการในระยะยาว ที่ไม่เป็นภาระด้านงบประมาณมากเกินไป โลกของคนไร้บ้าน เป็นความจริงอีกด้านหนึ่งที่สังคมอาจไม่เคยรู้ ให้เข้าสู่การยอมรับของสังคมมากขึ้น ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจ และหวาดระแวงไปเสียทุกคน แต่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ และโอกาสจากสังคมเช่นคนกลุ่มอื่นด้วยเช่นกัน

การ "ไล่ที่" หลายชีวิต ออกจากสนามหลวง เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุได้อย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด หรือคือการ"ผลักภาระ" ให้ไปโผล่ยังพื้นที่อื่นๆ เป็นเรื่องที่หลายฝ่าย ต้องขบคิดอย่าง รอบ คอบ...

SCOOP@NAEWNA.COM

วันที่ 2/2/2010

ไม่มีความคิดเห็น: