วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

ข้อสังเกตหลายประการในคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการเสียงข้างน้อย
โดย อุษณีย์ เอกอุษณีษ์ 18 มีนาคม 2553 16:38 น.
เป็นพาดหัวข่าวเล็กๆ กรณีมีการเผยแพร่คำวินิจฉัยส่วนตัวของ องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดียึดทรัพย์ 4 หมื่น 3 พันกว่าล้าน ของ นช.ทักษิณ ชินวัตรที่มีการอ่านคำพิพากษาออกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธุ์ 2553 และเพิ่งจะมีการเผยแพร่คำวินิจฉัยส่วนตนขององค์คณะทั้ง 9 คน หมดสิ้นไปทางเว็บไซต์ www.supremecourt.or.th ภายในสัปดาห์นี้ และถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจยิ่งที่ นสพ.รายวัน อย่าง ไทยโพสต์ ผู้จัดการ หรือแม้แต่คมชัดลึก จงใจหยิบเนื้อหาตอนหนึ่งของคำวินิจฉัย ของ มล.ฤทธิเทพ เทวกุล ขึ้นมาพาดหัวอย่างมีนัยสำคัญ ความว่า

…หุ้นบริษัทชินคอร์ปจึงเปรียบได้กับ เพชรเม็ดงาม ที่ผู้ครอบครองสามารถต่อรองราคาซื้อขายได้สูง อันเป็นสิ่งปกติในกลไกทางธุรกิจ และการซื้อขายหลักทรัพย์...ประการที่ 3 บริษัทในเครือชินคอร์ปหลายบริษัทลงทุนว่าจ้างบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะด้านกิจการของบริษัท หรือผู้ที่มีประสบการณ์สูงในการทำงานเกี่ยวกับกิจการของบริษัท เป็นผู้บริหาร ย่อมทำให้มีความได้เปรียบทางด้านแผนธุรกิจการค้า และมีผลประกอบการที่ดี รวมทั้งเกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ได้มากยิ่งกว่าผู้ประกอบธุรกิจอื่นอีกหลายรายที่ไม่ได้ลงทุนในด้านนี้

และสุดท้ายเมื่อเปรียบเทียบดัชนีราคาหุ้นบริษัทชินคอร์ป กับหุ้นของบริษัทอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นที่นิยมของผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกัน ก่อนมีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้กับกลุ่มเทมาเส็กแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นราคาขึ้นลงที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด (คำวินิจฉัยส่วนตัว ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล หน้า 125)

นี่เป็นข้อวินิจฉัยส่วนตนของผู้พิพากษาเพียงหนึ่งเดียว ที่ลงมติสวนคณะผู้พิพากษาท่านอื่นๆ โดยเห็นว่า นโยบายทั้ง 5 มาตรการ ที่ออกสมัยรัฐบาลทักษิณไม่ได้จงใจเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเครือชินคอร์ป ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ นช.ทักษิณ ที่องค์คณะฯ ชุดเดียวกันนี้ก็ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ อันเชื่อว่า นช.ทักษิณ ใช้นอมินีถือหุ้นแทนในบริษัทเครือชินคอร์ปจริง ทั้งที่ชินคอร์ปเป็นบริษัทที่เข้าไปทำสัญญาสัมปทานกับรัฐ

คำวินิจฉัย ของ ม.ล.ฤทธิเทพ เป็นหลักฐานสำคัญ ที่ชี้ให้เห็นว่า ดุลพินิจของคณะผู้พิพากษาเป็นไปโดยอิสระตามกฎหมาย ไม่มีทั้งการตั้งธงล่วงหน้า หรือแม้แต่การครอบงำโดยอำมาตย์คนใด ดังที่นักโทษหนีคดีพยายามกล่าวอ้าง เพราะถ้ามีการตั้งธง ความเห็นต่างทั้ง 5 มาตรการอย่างดุลพินิจของ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล คงมิอาจเกิดขึ้นได้ เรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วเมื่อ นปช.จตุพร พรหมพันธุ์ เองก็เลือกที่จะนำทัพคนเสื้อแดงไปใช้สิทธิยื่นถอดถอนองค์คณะเพียง 8 ท่าน และเลือกที่จะไม่ใช่สิทธิถอดถอน ท่านฤทธิเทพ ที่ไม่มีความเห็นเหมือนท่านอื่นๆ

ที่ว่าเป็นความเห็นต่างนั้นน่าสนใจ เพราะดุลพินิจของ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ที่ชี้ว่าทั้ง 5 มาตรการที่ออกไว้สมัยคุณทักษิณ ไม่เอื้อประโยชน์ต่อบริษัทชินคอร์ปแม้แต่น้อย แต่เพราะชินคอร์ปเป็น “เพชรน้ำงาม” ที่มีแสงในตัวอยู่แล้วนั้น ม.ล.ฤทธิเทพ ให้ข้ออธิบายไว้ ดังที่จะได้นำมาเปรียบเทียบกับความเห็นของคำพิพากษารวมดังนี้

กรณีการแปลงสัญญาสัมปทานฯ เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป กรณีนี้ องค์คณะเสียงข้างมากวินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2547 ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2546 และพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 พ.ศ. 2546 สำหรับกิจการโทรคมนาคม รวมทั้งมีมติครม.เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธุ์ 2546 ที่มีผลเป็นการเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และเป็นเหตุให้ชาติเสียหาย เพราะภาษีสรรพสามิตหายไป 6 หมื่นล้านเศษ

โดยเป็นที่สังเกตว่า คำวินิจฉัยกลางได้ให้น้ำหนักอ้างอิงการเบิกความพยานปากคำสำคัญ อาทิ นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบัน TDRI, นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ที่ให้ปากคำรับฟังได้ว่า “...หากรัฐบาลจะเก็บภาษีสรรพสามิตจากการให้บริการโทรศัพท์ เพื่อหารายได้เข้าสู่ประเทศจริง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ยอมให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์ที่ทำสัญญาสัมปทานกับ ทศท หรือ กสท นำภาษีที่เสียไปหักออกจากค่าสัมปทานได้...”

ขณะที่ คำวินิจฉัยส่วนตัวของ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล กลับหันไปให้น้ำหนัก คำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญที่ 32 /2548 ยืนยันการใช้อำนาจโดยชอบธรรมตาม พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิตของคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น แต่กลับไม่มีการกล่าวถึงผู้เชี่ยวชาญสองท่านด้านบนแต่ประการใด นอกจากนี้ในมุมมองของ ม.ล.ฤทธิเทพ ยังเชื่อด้วยซ้ำไปว่า “…การหาเงินเข้ารัฐจากเงินส่วนแบ่งรายได้ โดยการออกกฎหมายบังคับให้ผู้ประกอบการมีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อรัฐมากกว่าการใช้วิธีออกฎหมายเพื่อกำหนดให้หักเงินส่วนแบ่งรายได้เข้ากระทรวงการคลังโดยตรง...”

ต่อประเด็นที่ว่า มติครม.ที่ให้นำเงินค่าภาษีสรรพสามิตไปหักจากส่วนแบ่งรายได้ ทำให้ กสท และทศท มีรายได้ลดลงหรือไม่ ท่านได้อธิบายไว้ว่า “…เมื่อมีการแปรสภาพ กสท และ ทศท เป็นบริษัทมหาชนจำกัด นับแต่นั้น ก็ไม่มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ และไม่มีสิทธิเรียกเงินส่วนแบ่งรายได้จากคู่สัญญาภาคเอกชนอีกต่อไป จึงต้องทำการแปรค่าสัญญาสัมปทาน และการที่ ครม.มีมติให้นำเงินค่าภาษีมาหักจากเงินส่วนแบ่งรายได้ โดยคู่สัญญา ภาคเอกชนยังคงต้องจ่ายเงินส่วนแบ่งรายได้ส่วนที่เหลือจากภาษีสรรพสามิตให้แก่ ทศท และ กสท ต่อไปทำให้ทั้งสองหน่วยงานที่เสมือนเสียสิทธิไปแล้วกลับมีรายได้จากเงินส่วนแบ่งรายได้ที่เหลือจากภาษีสรรพาสามิต…”(หน้า 82)

ข้อนี้ผู้เขียนเชื่อว่า อาจมีผู้รู้ออกมาให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้อีกมาก เพราะเมื่อมีการศึกษามาถึงตรงนี้ คงมีคนตั้งคำถามต่อว่า เมื่อแปรสภาพ ทศท และ กสท แล้วก็จริงแต่รัฐก็เข้าไปถือหุ้นในหน่วยงานทั้งสองเกินกว่าครึ่ง เท่ากับรัฐเข้าไปถือผลประโยชน์ส่วนใหญ่มิใช่ล่ะหรือ?

ยังมีกรณี IPSTAR ที่คำวินิจฉัยกลางมองว่า เป็นการกระทำที่ลัดขั้นตอน รีบเร่ง ผิดปกติวิสัย และว่าดาวเทียม IPSTAR ไม่ได้เป็นดาวเทียมหลักแทนไทยคม 3 แต่เป็นดาวเทียมใช้สื่อสารต่างประเทศ ผิดสัญญาตามที่ระบุไว้ที่ว่าใช้ในประเทศ จึงอยู่นอกกรอบสัญญา เป็นการอนุมัติให้บริษัทผู้ถูกกล่าวหาได้รับสัมปทานไปโดยไม่มีคู่แข่ง ทำให้รัฐเสียหายกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท

แต่ในมุมมองของ ม.ล.ฤทธิเทพเห็นว่า IPSTAR มีคุณสมบัติไม่ด้อยกว่าดาวเทียมหลักอันถือว่าไม่ขัดต่อสัญญาที่ทำกับกระทรวงคมนาคม และว่า “ดาวเทียมแต่ละดวงอาจมีการสับเปลี่ยนกันเป็นดาวเทียมสำรองได้” (หน้า 105) ซึ่งประเด็นนี้ก็มีโอกาสจะถูกตั้งคำถามว่า เป็นการพิจารณาบนพื้นฐานผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญหรือไม่

สุดท้าย ประเด็นเรื่องการปล่อยกู้ให้กับพม่าผ่าน EXIM BANK มูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท ที่คำพิพากษากลางมองว่า เอื้อประโยชน์ให้บริษัทชินคอร์ปของทักษิณ โดยตรง แต่ในคำวินิจฉัยส่วนตัวของ ม.ล.ฤทธิเทพ มองว่า การเดินทางไปร่วมประชุมที่ย่างกุ้ง ของทีมงานจาก AIS และนายพานทองแท้ ชินวัตร ก่อนหน้าการทำสัญญา ไม่ได้เป็นข้อพิรุธแต่อย่างใด ซ้ำมองว่า ถ้ามีการล็อกไว้ให้กับ AIS ทีมงานของบริษัทดังกล่าวคงไม่จำเป็นต้องเดินทางไปสาธิตอุปกรณ์ต่างๆ

หรือความเห็นที่ว่า การโอนเงินกู้ 4 พันล้านให้กับบริษัทชินคอร์ปเลยโดยไม่ต้องผ่านไปที่พม่า ท่านมองว่า เป็นวิธีการที่รัดกุม และมีความแน่นอนที่บริษัทเจ้าหนี้จะได้รับค่าสินค้า

ประเด็นเหล่านี้ ผู้เขียนเชื่อว่า น่าจะทำให้เกิดการวิวาทะทางปัญญาระหว่างผู้รู้ในสังคมได้ต่อเนื่องไป เพราะศาลท่านเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์บนหลักของวิชาการ เหตุผล และกฎหมายหาใช่อารมณ์ไม่

ไม่มีความคิดเห็น: