ประวัติความเป็นมาของระนาด |
![]() | เหตุใดจึงเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า "ระนาด" มีเครื่องดนตรีจำนวนมากที่ถูกตั้งชื่อตามลักษณะเสียงของเครื่องดนตรีนั้นๆ เช่น ฉิ่ง กรับ ฆ้อง เป็นต้น แต่น่าแปลกที่ระนาดไม่ได้ถูกเรียกชื่อตามลักษณะของเสียงที่ได้ยินเมื่อเคาะลูกระนาด ชื่อนี้มีที่มาอย่างไร? และเหตุใดจึงเรียกเช่นนั้น? ได้มีการสันนิษฐานตามหลักภาษาศาสตร์เป็น 2 กระแสคือ
ประวัติความเป็นมาของระนาดเอก ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทนำแล้วว่า เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีนั้นมีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ยาวนานมาก ดังหลักฐานทางโบราณคดีที่มีการค้นพบระนาดหิน ซึ่งน่าจะเป็นต้นแบบของระนาดไม้ในยุคปัจจุบัน ระนาดหินนี้เป็นหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีนั้นมีต้นกำเนิดมานานแล้ว ระนาดหินดังกล่าวมีอายุเก่าประมาณ 3,000 ปี มีลักษณะเป็นขวานหินยาว พบที่แหล่งโบราณคดีริมฝั่งคลองกลาย หมู่ที่ 7 ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช "ขวานหินยาว" นั้นเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งของมนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์ คือ นำหินมากระเทาะให้เป็นแผ่นยาวหรือเป็นแท่งยาว ปลายด้านหนึ่งแต่งให้เป็นสันหนา ส่วนปลายอีกด้านจะแต่งให้บางลงจนเกิดความคมซึ่งเป็นลักษณะของขวานหินทั่วไป แต่มีลักษณะยาวกว่าจึงเรียกว่า "ขวานหินยาว" ขวานหินยาวบางชิ้นทำจากหินภูเขาไฟ ซึ่งมีส่วนผสมของแร่โลหะเวลาเคาะจะเกิดเสียงดังกังวาน และมีระดับเสียงสูงต่ำแตกต่างกันตามขนาดความยาวหรือความหนาบางของขวานหิน ด้วยเหตุนี้ นักโบราณคดีจึงเรียกขวานหินยาวว่า "ระนาดหิน" นอกจากนั้น ยังได้พบระนาดหินที่ประเทศเวียดนามจำนวน 11 ชิ้น เมื่อผู้เชี่ยวเชี่ยวชาญดนตรีพื้นเมืองของประเทศอินโดนีเซียได้วิเคราะห์ความถี่ของเสียงระนาดหินจำนวน 10 ชิ้น ปรากฏว่า มีระนาดหินจำนวน 5 ชิ้น มีความถี่ของเสียงเท่ากับความถี่ของเสียงดนตรี 5 เสียง ซึ่งเป็นระดับเสียงของเครื่องดนตรีโบราณที่ใช้กันอยู่ในประเทศอินโดนีเซียปัจจุบัน จึงพอจะสันนิษฐานได้ว่า กำเนิดของระนาดหินอาจเกิดจากการที่มนุษย์นำขวานหินธรรมดาซึ่งเป็นเครื่องมือใช้งานหรือเป็นอาวุธมาใช้ และได้ยินเสียงที่เกิดจากการกระทบกันของเครื่องมือดังกล่าวเป็นเสียงดนตรี ที่ไพเราะน่าฟังจึงเป็นแรงจูงใจให้เกิดจินตนาการในการคิดประดิษฐ์เครื่องดนตรีขึ้น การนำเอาไม้กรับหลายๆ อันมาวางเรียงตีนั้นน่าจะเป็นต้นกำเนิดของเครื่องดนตรีประเภทโปงลางและระนาดเอกในปัจจุบัน โดยจะเห็นได้จากเครื่องดนตรีของคนที่อยู่ในภูมิภาคแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่า ลาว กัมพูชา และร่องรอยการพัฒนาการของระนาดในภูมิภาคอื่นๆ ของโลกอีกหลายแห่ง ซึ่งก็มีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่มีรูปร่างและลักษณะคล้ายคลึงกัน เมื่อมีการนำไม้กรับขนาดต่างๆ มาวางเรียงและใช้ไม้เคาะเพื่อให้เกิดเสียงที่ต่างกันแล้ว จึงมีการคิดไม้รองเป็นรางเพื่อวางไม้กรับเรียงต่อๆ กันไป รวมทั้งมีการพัฒนาเพื่อให้คุณภาพเสียงดีขึ้นคือ แก้ไขปรับปรุงไม้กรับให้มีขนาดลดหลั่นกันโดยเรียงลำดับตามความสูงต่ำของเสียง และทำรางรองไม้กรับให้มีลักษณะเป็นกล่องเสียง เพื่อให้ดังกังวานยิ่งขึ้นเรียกว่า "รางระนาด" แล้วใช้เชือกร้อยไม้กรับขนาดต่างๆ ให้ติดกันเป็นผืน เรียกว่า "ผืนระนาด" ขึงแขวนไว้เหนือรางระนาด ต่อมาจึงประดิษฐ์แก้ไขตัดแต่งไม้กรับให้มีรูปร่างปราณีตสวยงามและเรียกไม้กรับเหล่านี้เสียใหม่ว่า "ลูกระนาด" ทั้งยังได้พัฒนา วิธีการปรับแต่งระดับเสียงของไม้กรับโดยใช้ขี้ผึ้งผสมตะกั่ว แล้วลนไฟติดไว้ตรงบริเวณด้านล่างตรงส่วนหัว และส่วนท้ายของลูกระนาดเพื่อให้เกิดเสียงที่ลึกนุ่มนวลขึ้น เป็นการเทียบเสียงลูกระนาดเพื่อให้ได้ระดับเสียงตรงตามที่ต้องการด้วย | ![]() | ||
![]() | ||||
![]() |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น