วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประวัติความเป็นมาของระนาด
เหตุใดจึงเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า "ระนาด"


มีเครื่องดนตรีจำนวนมากที่ถูกตั้งชื่อตามลักษณะเสียงของเครื่องดนตรีนั้นๆ เช่น ฉิ่ง กรับ ฆ้อง เป็นต้น แต่น่าแปลกที่ระนาดไม่ได้ถูกเรียกชื่อตามลักษณะของเสียงที่ได้ยินเมื่อเคาะลูกระนาด ชื่อนี้มีที่มาอย่างไร? และเหตุใดจึงเรียกเช่นนั้น? ได้มีการสันนิษฐานตามหลักภาษาศาสตร์เป็น 2 กระแสคือ

  1. กระแสแรกมีความเห็นว่า คำว่า "ระนาด" นั้นเป็นคำไทยที่แผลงหรือยืดเสียงมา จากคำว่า "ราด" เช่น คำว่า "เรียด" แผลงเป็น "ระเรียด" "ราบ" แผลงเป็น "ระนาบ" เป็นต้น ทั้งยังมีสำนวนที่ชอบพูดติดปากกันมาแต่โบราณว่า "ปี่พาทย์ ราด ตะโพน" ซึ่งมีคำว่า "ราด" ปรากฏรวมอยู่ในประโยคดังกล่าวด้วย และอาจจะหมายถึงระนาดเอกก็ได้

    คำว่า "ราด" นั้นมีความหมายว่า แผ่ออกไป กระจายออกไป ซึ่งก็ดูจะพ้องกับวิธีการที่นำเอาไม้กรับหรือลูกระนาดมาวางเรียงตามขนาดลดหลั่นกัน หรือการนำท่อนไม้มาวางเรียงขวางทางเดินแล้วเรียกท่อนไม้เหล่านั้นว่า "ลูกระนาด" อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ยังไม่มีข้อยุติที่แน่ชัดว่าเป็นการเรียกท่อนไม้ที่วางเรียงขวางทางเดินก่อนแล้วจึงนำมาเรียกเป็นชื่อเครื่องดนตรีในภายหลัง หรือว่าเป็นศัพท์ที่ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เรียกเครื่องดนตรีก่อนแล้ว จึงใช้เรียกการเรียงท่อนไม้ลักษณะนั้นในภายหลัง


  2. กระแสที่สองมีความเห็นว่า คำนี้น่าจะเป็นคำในภาษาเขมร ดังปรากฏในบทความของ อาจารย์สงัด ภูเขาทอง เรื่อง "โปงลางในทัศนะของคนต่างถิ่น" จากหนังสือ "คำดนตรี" ของคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ให้ข้อสันนิษฐานไว้ว่า ระนาดน่าจะไม่ใช่คำไทย ยิ่งไปพบคำเขมรที่เขียนว่า "ราด" คนเขมรออกเสียงว่า "เรียะส์" แต่ไทยออกเสียงว่า "ราด" เป็นคำกริยาแปลว่า "คราด" เขามีวิธีทำคำกริยาให้เป็นคำนามด้วยการเติมกลางคำ (Infix) คือแทรกตัว "น" เข้าไปเป็น "รนาส" คนเขมรอ่านว่า "โรเนียะส์" แต่คนไทยอ่านว่า "ระนาด" แปลว่า "ลูกคราด" เวลาเขียนคำเขมรที่สะกดด้วยตัว "ส" เมื่อเป็นภาษาไทยมักจะแปลงตัว "ส" ให้เป็น "ด" เช่น "โปรส" เป็น "โปรด" เป็นต้น ดังนั้น คำว่า "ระนาส" จึงกลายเป็น "ระนาด" ไป และพลอยให้น่าเชื่อว่า คำว่าระนาดนั้นน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากภาษาเขมร

ประวัติความเป็นมาของระนาดเอก


ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทนำแล้วว่า เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีนั้นมีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ยาวนานมาก ดังหลักฐานทางโบราณคดีที่มีการค้นพบระนาดหิน ซึ่งน่าจะเป็นต้นแบบของระนาดไม้ในยุคปัจจุบัน ระนาดหินนี้เป็นหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีนั้นมีต้นกำเนิดมานานแล้ว ระนาดหินดังกล่าวมีอายุเก่าประมาณ 3,000 ปี มีลักษณะเป็นขวานหินยาว พบที่แหล่งโบราณคดีริมฝั่งคลองกลาย หมู่ที่ 7 ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช

"ขวานหินยาว" นั้นเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งของมนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์ คือ นำหินมากระเทาะให้เป็นแผ่นยาวหรือเป็นแท่งยาว ปลายด้านหนึ่งแต่งให้เป็นสันหนา ส่วนปลายอีกด้านจะแต่งให้บางลงจนเกิดความคมซึ่งเป็นลักษณะของขวานหินทั่วไป แต่มีลักษณะยาวกว่าจึงเรียกว่า "ขวานหินยาว" ขวานหินยาวบางชิ้นทำจากหินภูเขาไฟ ซึ่งมีส่วนผสมของแร่โลหะเวลาเคาะจะเกิดเสียงดังกังวาน และมีระดับเสียงสูงต่ำแตกต่างกันตามขนาดความยาวหรือความหนาบางของขวานหิน ด้วยเหตุนี้ นักโบราณคดีจึงเรียกขวานหินยาวว่า "ระนาดหิน" นอกจากนั้น ยังได้พบระนาดหินที่ประเทศเวียดนามจำนวน 11 ชิ้น เมื่อผู้เชี่ยวเชี่ยวชาญดนตรีพื้นเมืองของประเทศอินโดนีเซียได้วิเคราะห์ความถี่ของเสียงระนาดหินจำนวน 10 ชิ้น ปรากฏว่า มีระนาดหินจำนวน 5 ชิ้น มีความถี่ของเสียงเท่ากับความถี่ของเสียงดนตรี 5 เสียง ซึ่งเป็นระดับเสียงของเครื่องดนตรีโบราณที่ใช้กันอยู่ในประเทศอินโดนีเซียปัจจุบัน จึงพอจะสันนิษฐานได้ว่า กำเนิดของระนาดหินอาจเกิดจากการที่มนุษย์นำขวานหินธรรมดาซึ่งเป็นเครื่องมือใช้งานหรือเป็นอาวุธมาใช้ และได้ยินเสียงที่เกิดจากการกระทบกันของเครื่องมือดังกล่าวเป็นเสียงดนตรี ที่ไพเราะน่าฟังจึงเป็นแรงจูงใจให้เกิดจินตนาการในการคิดประดิษฐ์เครื่องดนตรีขึ้น

กรับ

สำหรับระนาดไม้นั้นน่าจะมีพัฒนาการมาจาก กรับ หรือ โกร่ง ซึ่งตามปกติใช้ตีเพียง 2 ชิ้น แต่ได้มีการนำเอากรับซึ่งเป็นท่อนไม้สั้นๆ จำนวนหลายชิ้นมาวางเรียงกัน แล้วใช้ไม้ตีลงไป ทำให้เกิดทำนองสูงต่ำแตกต่างกันตามขนาดความ สั้น - ยาว และ ความ หนา - บาง ของวัตถุ ดังเช่นเครื่องดนตรีของชาวอินโดนีเซียหรือชาวพื้นเมืองในประเทศแอฟริกา

การนำเอาไม้กรับหลายๆ อันมาวางเรียงตีนั้นน่าจะเป็นต้นกำเนิดของเครื่องดนตรีประเภทโปงลางและระนาดเอกในปัจจุบัน โดยจะเห็นได้จากเครื่องดนตรีของคนที่อยู่ในภูมิภาคแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่า ลาว กัมพูชา และร่องรอยการพัฒนาการของระนาดในภูมิภาคอื่นๆ ของโลกอีกหลายแห่ง ซึ่งก็มีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่มีรูปร่างและลักษณะคล้ายคลึงกัน

เมื่อมีการนำไม้กรับขนาดต่างๆ มาวางเรียงและใช้ไม้เคาะเพื่อให้เกิดเสียงที่ต่างกันแล้ว จึงมีการคิดไม้รองเป็นรางเพื่อวางไม้กรับเรียงต่อๆ กันไป รวมทั้งมีการพัฒนาเพื่อให้คุณภาพเสียงดีขึ้นคือ แก้ไขปรับปรุงไม้กรับให้มีขนาดลดหลั่นกันโดยเรียงลำดับตามความสูงต่ำของเสียง และทำรางรองไม้กรับให้มีลักษณะเป็นกล่องเสียง เพื่อให้ดังกังวานยิ่งขึ้นเรียกว่า "รางระนาด" แล้วใช้เชือกร้อยไม้กรับขนาดต่างๆ ให้ติดกันเป็นผืน เรียกว่า "ผืนระนาด" ขึงแขวนไว้เหนือรางระนาด ต่อมาจึงประดิษฐ์แก้ไขตัดแต่งไม้กรับให้มีรูปร่างปราณีตสวยงามและเรียกไม้กรับเหล่านี้เสียใหม่ว่า "ลูกระนาด" ทั้งยังได้พัฒนา วิธีการปรับแต่งระดับเสียงของไม้กรับโดยใช้ขี้ผึ้งผสมตะกั่ว แล้วลนไฟติดไว้ตรงบริเวณด้านล่างตรงส่วนหัว และส่วนท้ายของลูกระนาดเพื่อให้เกิดเสียงที่ลึกนุ่มนวลขึ้น เป็นการเทียบเสียงลูกระนาดเพื่อให้ได้ระดับเสียงตรงตามที่ต้องการด้วย

²²²²²²²²²

ไม่มีความคิดเห็น: