วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

กีฬาสุดสัปดาห์
เปิดตำนานสนุกเกอร์ชิงแชมป์โลก
โจ เดวิส สุดยอดตำนานสนุกเกอร์โลก

ใกล้เข้ามาทุกขณะสำหรับศึกดังระดับปฐพี!

การแข่งขันสนุกเกอร์ชิงแชมป์โลก ที่สังเวียนศักดิ์สิทธิ์ "ครูซิเบิ้ล เธียเตอร์" ใกล้เวลาที่จะดวลเพลงคิวกันประจำซีซั่นนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายนนี้เป็นต้นไป

ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นแชมป์ เพราะนับตั้งแต่หมดยุคทองฝังเพชรของ สตีเฟ่น เฮนดรี้ เป็นต้นมา

แชมป์สนุกเกอร์โลกก็เปลี่ยนมืออยู่ตลอดเวลา

มันเหมือนกับสมบัติที่ผลัดกันชมมากกว่า จะเป็นการถือกรรมสิทธิ์ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว

มีแชมป์โลกเกิดขึ้นใหม่อีกถึง 5 คนด้วยกัน

คนแรก มาร์ค เจ.วิลเลี่ยมส์ ทำได้สำเร็จในปี 2000 ด้วยการเชือด แมทธิว สตีเว่นส์ ในการชิงกันหนแรกของชาวเวลส์ ก่อนจะทำได้อีกครั้งในปี 2003 แปลกดีก็ตรงที่ มาร์ค เจ. ช่วงที่ได้แชมป์โลกนั้น ในชีวิตไม่เคยแทงแม็กซิมั่มเบรกได้แม้แต่หนเดียว

คนที่ 2 รอนนี่ โอซุลลิแวน เด็กนรกคืนโหดได้แชมป์ในปี 2001 และปี 2004

คนที่ 3 ปีเตอร์ เอ๊บดอน ทำได้ในปี 2002 แบบต้องลุ้นกันจนถึงเฟรมสุดท้าย ก่อนจะชนะ เฮนดรี้

คนที่ 4 ฌอน เมอร์ฟี่ย์ ทำได้ในปี 2005 นักแทงจากรอบควอลิฟายด์คนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์ จนถูกตั้งฉายาว่า "เดอะ แมจิเชี่ยน"

คนที่ 5 คือแชมป์คนล่าสุดเมื่อปีกลายนั่นคือ แกรม ด็อตต์ กลายเป็นชาวสก็อตแลนด์คนแรกในรอบ 7 ปีที่ทวงความยิ่งใหญ่บนผืนผ้าสักหลาดด้วยการพิฆาต ปีเตอร์ เอ๊บดอน

ทำให้ในช่วง ค.ศ. 2000 จึงไม่สามารถระบุลงไปได้เลยว่า นี่คือยุคทองของใคร หรือนี่คือยุคแห่งการประกาศอิสระภาพ ตัดสิ้นถึงการผูกขาดแชมป์

นี่คืออีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ในยุคใหม่ของชิงแชมป์โลก หลังจากระหกระเหินไปทั่วก่อนจะมาจอดอยู่ที่สถานีครูซิเบิ้ล เมืองเชฟฟิลด์ ในปี 1977

ก่อนหน้านั้นสนุกเกอร์มีบันทึกตำนานเกิดขึ้นมากมาย แต่ที่หลายคนรู้จักกันมากที่สุดคือ โจ เดวิส ที่มาจากครอบครัวที่เล่นบิลเลียด ก่อนจะก้าวมาเป็นแชมป์โลกในสมัยเดิมนั้นนับครั้งไม่ถ้วน

เขายังทำสถิติมากมายหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น แชมป์คนแรกที่แทงเซ็นจูรี่เบรคในนัดชิง 110 แต้ม ในปี 1935 หรือจะเป็นการแทง 136 แต้มในนัดชิงปี 1946

จากนั้นก็ถึงทีของ เฟร็ด เดวิส น้องชายแท้ ๆ ที่ได้แชมป์ 3 ครั้ง

พอขยับปรับเปลี่ยนมาเป็นการเล่นในชื่อของ "World Matchplay Championship" เฟร็ด ยังเดินหน้าคว้าแชมป์ได้ถึง 5 สมัยรวด ก่อนที่ จอห์น พัลแมน จะมาเป็นแชมป์ในปี 1957 แต่ก็ต้องหยุดพักไปหลายปีเนื่องจากติดสงครามโลก ครั้งที่ 2

หลังจากเสร็จศึกล้างเลือด การสอยคิวกลับมาระเบิดความแม่นกันอีกครั้ง ในปี 1964 ในชื่อที่ว่า "World Championchip challenge matches" กลายเป็นยุคของ พัลแมน อย่างแท้จริง เขากวาดแชมป์ได้ 4 สมัยซ้อน

จนกระทั่งเปลี่ยนการดวลคิวมาเป็น ระบบการเล่น "World Championship Nockout" ชื่อของ จอห์น สเปนเซอร์ ก็กลายเป็นหนึ่งในบันทึกของตำนาน แต่คนที่มาแรงกว่าคงไม่พ้น เรย์ เรียร์ดอน จอมคิวจากเวลส์ที่ก้าวขึ้นมาผงาด

เพราะก่อนหน้านั้นทั้ง โจ เดวิส, เฟร็ด เดวิส และจอห์น พัลแมน ล้วนแล้วแต่เป็นนักแทงจากอังกฤษทั้งนั้น

เรียร์ดอน คว้าแชมป์ได้ถึง 5 ครั้ง ในปี 1970, 1973, 1974, 1975 และ 1976

ก่อนที่เกมจะเดินหน้าเข้าสู่ครูซิเบิ้ล เธียเตอร์ อย่างเป็นทางการ ในปี 1977 ซึ่งตอนนั้นชาวอังกฤษ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะแชมป์แรกที่สังเวียนนี้

คนได้แชมป์คือชาวเจ้าภาพ!

บี แหลมสิงห์

เปิดตำนานแชมป์โลกสนุกเกอร์(ตอน2)

ต่อเนื่องมาจากสุดสัปดาห์ที่แล้ว

กับการเล่าขานตำนานสอยคิวโลก ผู้ที่เดินหน้าคว้าแชมป์มาครองแต่ในละยุค จาก โจ เดวิส จนมาถึง "เทพบุตรคิวทอง" สตีฟ เดวิส

สตีฟ คือต้นแบบของคนที่มี "พรแสวง" ในการเล่น เขาหาใช่มี "พรสวรรค์" ที่เพียงพอ แต่รู้จักที่จะเดินหน้า รู้จักฝึกซ้อม และทำงานอย่างหนัก เพื่อให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ

นี่คือต้นแบบของคนที่ "ไม่เก่ง" ในเรื่อง ๆ นั้น แต่สามารถก้าวถึงความสำเร็จได้มากกว่า "คนที่เก่ง"

หลังจากหมดยุคของ สตีฟ กลายเป็นว่า เกมสนุกเกอร์หลุดจากมือของชาวอังกฤษ มาอยู่ที่อ้อมกอดของพวกวิสกี้ สก็อตแลนด์

สตีเฟ่น เฮนดรี้ ก้าวขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่ ทำสถิติเป็นแชมป์โลก 6 สมัยเท่ากับ เรียร์ดอน และสตีฟ ก่อนจะขีดตำนานบทใหม่ด้วยการคว้าแชมป์ได้ถึง 7 สมัย สูงสุดในประวัติศาสตร์

แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาเป็นตำนานบทใหม่ที่ชัดเจน

แชมป์โลกเปลี่ยนมือกันไป เปลี่ยนมือกันมาในสหัศวรรษใหม่

เป็นใครไปดูกัน!!!

  • 1990 สตีเฟ่น เฮนดรี้(สก็อตแลนด์) ชนะ จิมมี่ ไวท์(อังกฤษ) 18-12
    จิมมี่ ไวท์ กลับเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศอีกครั้งเป็นหนที่สองในชีวิต แต่เขาก็ต้องผิดหวังเช่นเดียวกับปี 1984 เมื่อพ่ายให้กับดาวรุ่งพุ่งแรงจากแดนวิสกี้ที่เพิ่งเข้ามาสู่วงการได้แค่ 5 ปีที่ชื่อ "มัจจุราชผมทอง" สตีเฟ่น เฮนดรี้ และทำให้ เฮนดรี้ กลายเป็นแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งนับจากนั้นเป็นต้นมา เฮนดรี้ ก็กลายเป็นตำนานที่มีชีวิตแห่งวงการสอยคิวโลก

  • 1991 จอห์น แพร์ร็อตต์(อังกฤษ) ชนะ จิมมี่ ไวท์(อังกฤษ) 18-11
    เกมแห่งผู้อกหัก แพร์ร็อตต์ เคยแพ้ สตีฟ แบบหมดสภาพ ขณะที่ ไวท์ เข้าชิงสองครั้งแพ้รวด มาคราวนี้จึงจะมีหนึ่งคนที่ลบอาถรรพ์ และอีกคนหนึ่งจะต้องอยู่ในมุมแห่งความพ่ายแพ้ และก็เป็น ไวท์ เช่นเดิม หลังจากออกสตาร์ทในช่วงแรก แพร์ร็อตต์ ร้อนแรงเกินห้ามใจขึ้นนำก่อนถึง 7-0 ก่อนจะควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ และปิดแมทช์เอาชนะไปได้อย่างไม่ต้องลุ้นอะไรมาก

  • 1992 สตีเฟ่น เฮนดรี้(สก็อตแลนด์) ชนะ จิมมี่ ไวท์(อังกฤษ) 18-14
    เป็นการรีแมทช์นัดชิงชนะเลิศปี 90 เกมทุกอย่างทำท่าจะอยู่ในกำมือของ จิมมี่ ไวท์ เมื่อโชว์ฟอร์มการแทงจนนำห่างไปถึง 14-9 แต่เหมือนกับฟ้าไม่เป็นใจให้เขาอีกครั้ง เมื่อทำอะไรก็เจอแต่ความผิดพลาด และในที่สุด เฮนดรี้ ก็เก็บทีละเฟรมสองเฟรม นับไปนับมา 10 เฟรมรวด แซงหน้าขึ้นไปคว้าแชมป์ได้อย่างเหลือเชื่อ ชนิดที่ ไวท์ ก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง

  • 1993 สตีเฟ่น เฮนดรี้(สก็อตแลนด์) ชนะ จิมมี่ ไวท์(อังกฤษ) 18-5
    ยังมีให้ล้างตากันอีกครั้ง แต่คราวนี้หูตาของ ไวท์ ยิ่งพร่ามัวเข้าไปอีก เมื่อเจอพิษของ มัจจุราชแห่งแดนวิสกี้ กระทุ้งแบบแทบไม่เหลือซาก เพียงแค่เฟรมแรกของการแข่งขัน เฮนดรี้ ก็กดเบรคยาว 136 แต้ม ก่อนจะปิดแมทช์ด้วยชัยชนะอย่างง่ายดาย ส่งผลให้ ไวท์ ช้ำเป็นครั้งที่ 5

  • 1994 สตีเฟ่น เฮนดรี้(สก็อตแลนด์) ชนะ จิมมี่ ไวท์(อังกฤษ) 18-17
    ยังมีให้ล้างตากันอีกที และก็กลายเป็นนัดชิงชนะเลิศหนที่สองที่ต้องลุ้นกันถึงเฟรมสุดท้าย ไวท์ มีโอกาสออกอาวุธก่อนแต่เขากลับพลาดลูกดำที่ตั้งอยู่ตรงจุด เปิดโอกาสให้ เฮนดรี้ ออกมาเบรค 58 แต้มเป็นแชมป์สมัยที่ 4 ใน 5 ปีหลังและไม่เคยแพ้ใครในนัดชิงแชมป์โลก เบ็ดเสร็จคู่นี้เจอกันในนัดชิง 4 ครั้ง เฮนดรี้ ชนะทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า แค่นึกถึงไม่จำเป็นต้องเห็นเงา ไวท์ ก็แทบสะดุ้งนักแทงวิสกี้คนนี้อยู่แล้ว ที่สำคัญการเข้าชิงแชมป์โลก 6 ครั้ง ไวท์ ต้องออกมาในฐานะผู้แพ้ตลอด ดังนั้นคำว่า "แชมป์โลกมหาชน" คงไม่ต้องหาที่มาอีกแล้ว

  • 1995 สตีเฟ่น เฮนดรี้(สก็อตแลนด์) ชนะ ไนเจล บอนด์(อังกฤษ) 18-9
    หลังจากเจอกันมาตลอดในนัดชิงชนะเลิศ 3 ปีซ้อน เฮนดรี้ ยังตามไปจองเวรพิฆาต จิมมี่ ไวท์ ในรอบตัดเชือก แถมยังสอยแม็กซิมั่มเบรคไปอีกต่างหาก พอมาถึงนัดชิงการเจอกับ "ไอ้นกกระยาง" ไนเจล บอนด์ ทุกอย่างเลยกลายเป็นของง่าย หลังจากเกมทำท่าจะสูงสุดแต่สุดท้ายแล้ว เฮนดรี้ โชว์ความนิ่งและเนียนแทงเซ็นจูรี่เบรคในเฟรมสุดท้าย คว้าแชมป์ไปอย่างสุดยอด

  • 1996 สตีเฟ่น เฮนดรี้(สก็อตแลนด์) ชนะ ปีเตอร์ เอ๊บดอน(อังกฤษ) 18-12
    ไม่มีอะไรจะหยุด "มัจจุราชผมทอง" ได้อีกต่อไป เมื่อสุดยอดนักสอยคิวแห่งทศวรรษที่ 90 สร้างตำนานกลายเป็นนักสนุกเกอร์คนที่ 3 ที่คว้าแชมป์โลกได้ 6 สมัย ตามหลัง เรย์ เรียร์ดอน ยอดคนยุค 70 และ สตีฟ เดวิส ยอดมนุษย์ยุค 80 ด้วยการปราบ "เจ้าผมหางม้า" ปีเตอร์ เอ๊บดอน ลงได้อย่างไม่ยากเย็น แถมยังเป็นแชมป์โลกที่รวดเร็วมาก โดยเล่น 7 ปี พลาดแชมป์แค่หนเดียวเท่านั้น

  • 1997 เคน โดเฮอร์ตี้(ไอร์แลนด์) ชนะ สตีเฟ่น เฮนดรี้(สก็อตแลนด์) 18-12
    หลังจากโชว์ฟอร์มในการเล่นสมัครเล่นได้อย่างโดดเด่น ในที่สุด "ไอ้หน้าบาก" เคน โดเฮอร์ตี้ ก็สามารถก้าวมาเป็นแชมป์โลกได้สำเร็จ พร้อมกับเป็นคนแรกที่ยัดเยียดความพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศ ที่ครูซิเบิ้ลให้กับ สตีเฟ่น เฮนดรี้ ด้วยชัยชนะอันงดงาม นอกจาก เคน จะได้เช็คเงินรางวัลถึง 210,000 ปอนด์ เขายังกลายเป็นพ่อค้าคิวคนแรกที่ได้แชมป์โลกอายุต่ำกว่า 21 ปี, แชมป์โลกสมัครเล่น และแชมป์โลกระดับอาชีพ

  • 1998 จอห์น ฮิกกินส์(สก็อตแลนด์) ชนะ เคน โดเฮอร์ตี้(ไอร์แลนด์) 18-12
    ถึงเวลาของวิสกี้แมนกลับมาเป็นแชมป์อีกครั้ง แต่ไม่ใช่ เฮนดรี้ กลับเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่เพิ่งเทิร์นโปร 5 ปีจากวิชอว์ "พ่อมดวิสกี้" จอห์น ฮิกกินส์ ที่มีปัญหาเกี่ยวกับคิวเมื่อซีซั่นก่อน ต้องส่งซ่อมอยู่ตลอดจนสูญเสียความมั่นใจ กลับมาออกคิวกระฉูด ด้วยการกระทุ้ง เคน โดเฮอร์ตี้ ที่หลุดมาป้องกันแชมป์ อย่างงดงาม พร้อมกับก้าวไปเป็นมือ 1 ของโลกได้สำเร็จ

  • 1999 สตีเฟ่น เฮนดรี้(สก็อตแลนด์) ชนะ มาร์ค เจ.วิลเลี่ยมส์(เวลส์) 18-11
    กลับมาอีกครั้งโดยที่ไม่ต้องมีใครเรียกร้อง และมาครั้งนี้ถือเป็นความยิ่งใหญ่ชนิดไร้ขีดจำกัด สตีเฟ่น เฮนดรี้ ตอกย้ำความเป็นสุดยอดพ่อค้าคิวแห่งทศวรรษที่ 90 ด้วยการสยบ "จรวดทางเรียบ" มาร์ค เจ.วิลเลี่ยมส์ สุดยอดนักแทงมือไฟฟ้าสิงห์อีซ้ายจากเวลส์ ด้วยสกอร์หายห่วง และจากชัยชนะหนนี้ของ เฮนดรี้ ทำให้เขากลายเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่สามารถคว้าแชมป์โลกมาครองได้ถึง 7 สมัย แซงหน้า เรย์ เรียร์ดอน กับ สตีฟ เดวิส ไปได้อย่างสุดยอด

  • 2000 มาร์ค เจ.วิลเลี่ยมส์(เวลส์) ชนะ แมทธิว สตีเว่นส์(เวลส์) 18-9
    ในอดีตที่ผ่านมาในครูซิเบิ้ล เธียเตอร์ นักแทงจากเวลส์ไม่เคยชิงกับเวลส์ด้วยกันเอง แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้ตลอด ซึ่งการชิงกันเองของเวลช์แมนหนนี้ มาร์ค เจ.วิลเลี่ยมส์ ประกาศศักดา การเป็นว่าที่สุดยอดนักแทงแห่งศตวรรษใหม่ ด้วยการลบล้างความผิดหวังจากปีก่อน ควงคิวทิ่ม แมทธิว สตีเว่นส์ ไอ้หนุ่มหน้าหล่อ ลงได้แบบขาดกระจุย และขึ้นไปยึดหมายเลข 1 ของโลกอย่างเต็มภาคภูมิ

  • 2001 รอนนี่ โอซุลลิแวน(อังกฤษ) ชนะ จอห์น ฮิกกินส์(สก็อตแลนด์) 18-14
    มีเสียงนินทาที่ว่า รอนนี่ ไม่มีทางเป็นแชมป์โลก หากยังทำตัวเป็นเด็กนรก เด็กนิสัยเสีย หมดแล้วซึ่งความละเมียด และขาดในเรื่องความละไม แต่ในที่สุด "ไอ้หนูมหัศจรรย์" ผู้กลายเป็น "เด็กนรก" ลบภาพความแสบสันชนิดทิงเจอร์เห็นยังร้องไห้ ด้วยการต่อสู้กับ จอห์น ฮิกกินส์ อดีตแชมป์เมื่อ 3 ปีก่อนอย่างสูสี ก่อนที่ รอนนี่ จะแสดงความใจเย็น ย้ำ!ใจเย็น และความแม่นยำที่ฟ้าประทานมาให้เบียดเข้าป้ายคว้าแชมป์ได้อย่างยอดเยี่ยม และก็แซงหน้าไปยึดมือ 1 แห่งปฐพีอีกต่างหาก

  • 2002 ปีเตอร์ เอ๊บดอน(อังกฤษ) ชนะ สตีเฟ่น เฮนดรี้(สก็อตแลนด์) 18-17
    นี่คือแชมป์โลกที่น่ายกย่องอย่างมาก เขาเจอกับปัญหาสารพัด กระทั่งการหลุดจากมือวางไปก็เคย แต่ด้วยความมุ่งมั่น ความตั้งใจ และไม่มีท้อถอย พรแสวงก็มาจูนกับพรสวรรค์อย่างลงตัว ที่สุดแล้วอดีตเจ้าผมหางม้าอย่าง ปีเตอร์ เอ๊บดอน ก็สามารถก้าวถึงฝั่งฝันได้สำเร็จ แม้จะหมดซึ่งความเท่ห์เหมือนเมื่อก่อน แต่ฝีมือและความนิ่งมีมากขึ้น ก่อนจะสยบ สตีเฟ่น เฮนดรี้ ลงได้แบบต้องตัดสินกันในเฟรมสุดท้าย

  • 2003 มาร์ค เจ.วิลเลี่ยมส์(เวลส์) ชนะ เคน โดเฮอร์ตี้(ไอร์แลนด์) 18-16
    ขึ้น ๆ ลง ๆ กับตำแหน่งมือ 1 และมือ 2 อยู่เรื่อยเปื่อย ในที่สุด "จรวดทางเรียบ" นักแทงสิงห์อีซ้ายจากเวลส์ ก็ทำได้อีกครั้ง ทั้งที่ตัวเขานั้นไม่เคยแทงแม็กซิมั่มเบรค แต่กดเซ็นจูรี่เบรค 6 ครั้งเบิกทางสู้แชมเปี้ยน ด้วยชัยชนะเหนือ "ไอ้หน้าบาก" ในเกมที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทั้งคู่สู้กันได้สูสี โดยเฉพาะ เคน ที่ผ่านคู่แข่ง 4 รอบแบบต้องตัดสินกันในเฟรมสุดท้ายมาตลอด เป็นผู้ตามที่ดี แต่สุดท้ายก็ต้านความคมของ มาร์ค เจ.ไม่ไหว ทำให้ศึกชิงแชมป์โลกสมัยที่ 2 ในชีวิตของทั้งคู่ตกเป็นของจอมคิวแห่งเวลส์

  • 2004 รอนนี่ โอซุลลิแวน(อังกฤษ) ชนะ แกรม ด็อตต์(สก็อตแลนด์) 18-8
    หลายคนทำหน้างง และฉงนสงกะสัยว่า แกรม ด็อตต์ มาได้ไงเนี่ย! กับการทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ สนุกเกอร์โลก ในปีที่มีแต่มี"รองบ่อน" ทำสถิติต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะคนที่ทำเบรกสูงสุดกลายเป็น ไรอัน เดย์ ที่ทำได้ 145 แต้ม สุดท้ายแล้ว รอนนี่ โอซุลลิแวน นักสอยคิวขวัญใจคอซาดิส ที่ไว้ผมยาวประบ่า แล้วใส่ที่คาดผม ยั่วใจแมวสาวทั่วทั้งโลก ก่อนจะแทงแบบ"ซ้ายทีขวาที" เล่นเอา ด็อตต์ เปิดตำรารับเอาไว้ไม่ไหว กลายเป็นคู่ชิงที่แพ้กันขาดลอยมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1983 เป็นต้นมา

  • 2005 ฌอน เมอร์ฟี่ย์(อังกฤษ) ชนะ แมทธิว สตีเวนส์(เวลส์)
    ฝีมือหรือว่าฟ้าบันดาลก็ไม่ทราบ! ไอ้หนูร่างอวบมือคัดเลือกอย่าง "ฌอน เมอร์ฟี่ย์" ผงาดคว้าแชมป์ได้อย่างหักปากกาเซียน ด้วยการผ่านนักสอยคิวทุกรายที่ขวางหน้า พร้อมกับกระซวก 3 แชมป์โลกทั้ง จอห์น ฮิกกินส์, ปีเตอร์ เอ๊บดอน และสตีฟ เดวิส ก่อนจะไปดับฝัน ไอ้หน้าหล่อแห่งเวลส์อย่าง แมทธิว สตีเวนส์ ให้อกหักเป็นครั้งที่สอง กลายเป็นมนุษย์คนที่มาจากรอบคัดเลือกคนที่ 2 ที่ได้แชมป์โลก พร้อมกับได้รับการขนานนามว่า "เดอะ แมจิเชี่ยน" หรือว่า "พ่อมดน้อย" ทันที 2006 แกรม ด็อตต์(สก็อตแลนด์) ชนะ ปีเตอร์ เอ๊บดอน(อังกฤษ) 18-14
    ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นอย่างแท้จริง สุภาษิตนี้ยังใช้ได้ทุก พ.ศ. และ ค.ศ. คราวนี้ได้ถือกำเนิดจากพลังคิวของ แกรม ด็อตต์ อีกหนึ่งนักสอยคิวจากแดนวิสกี้ ที่ก้าวมาเป็นแชมป์ที่ครูซิเบิ้ล ด้วยการผ่านนักแทงในตำนานอย่าง "เจ้านกแก้ว" จอห์น แพร์ร็อตต์ 10-3 ต่อด้วยการสอย "เจ้านกกระยาง" ไนเจล บอนด์ 13-9 แล้วมาบี้ดาวโรจน์อย่าง นีล โรเบิร์ตสัน แบบตัดสินด้วยภาพถ่าย 13-12 ก่อนจะมาดับแสง รอนนี่ โอซุลลิแวน 17-11 ในรอบตัดเชือก แล้วก็มาปราบ ปีเตอร์ เอ็บดอน ได้อย่างสะใจ ถือเป็นอีกหนึ่งคนที่พลิกความคาดหมายมาเป็นแชมป์ และน่าสนใจกว่านั้นก็คือ นับตั้งแต่หมดยุคของ เฮนดรี้ แชมป์สอยคิวโลกยากต่อการคาดเดา

    ไม่มีแชมป์เหมาอีกต่อไป!!!

    บี แหลมสิงห์

  • วันที่ 15/4/2007


    ไม่มีความคิดเห็น: