วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

อีกบทบาทของ "บัณฑิต อึ้งรังษี" ฮีโร่ 'คนดนตรี' ของลูก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มีนาคม 2553 17:04 น.
ความสุขที่สุดคือการได้อยู่กับลูก
เวลานี้ ไม่มีใครไม่รู้จัก "บัณฑิต อึ้งรังษี" ฮีโร่ที่ทั้งโลกรู้จักกันดี กับตำแหน่งผู้อำนวยการเพลงระดับนานาชาติคนแรกของไทย ที่ปัจจุบันกลายเป็นคุณพ่อของลูกสาว 3 คน ที่ทีมงาน Life & Family มีโอกาสได้พูดคุยในงาน "เอนฟา เอพลัส มหัศจรรย์พลังการเรียนรู้ทั่วไทย" ถึงบทบาทความเป็นพ่อ และหัวหน้าครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ ไม่น้อยไปกว่าการอำนวยเพลงให้กับวงซิมโฟนี่ ออเคสตร้าระดับโลก จนบางการแสดงต้องยอมสละไป เพราะอยากใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวให้มากที่สุด

"ผมเต็มที่กับลูก และภรรยาสุดๆ จะให้เวลา และสนุกไปพร้อมกับลูก บางครั้งมีงานแสดงที่ต่างประเทศ ถ้าไม่สำคัญอะไรมากนัก ผมก็อยากจะอยู่กับลูกมากกว่า ซึ่งผมจะจัดตารางเวลาไปต่างประเทศให้น้อยที่สุดอย่างน้อย 6 เดือนต่อปีผมจะต้องอยู่กับครอบครัว"

คำยืนยันจากปากคุณพ่อวาทยกรระดับโลก ที่แสดงให้เห็นถึงความรัก และความห่วงใยต่อครอบครัว โดยเฉพาะการมีลูกสาวถือเป็นเรื่องใหม่ ที่จะต้องปรับตัวเป็นพิเศษ เนื่องจากพี่น้องไม่เคยมีเด็กผู้หญิงมาก่อนเลย

แต่ถึงกระนั้น เขาโชคดีที่ได้ภรรยาแสนดีอย่าง "แมรี่ อึ้งรังษี" นักร้องเพลงแจ๊สมืออาชีพชาวอเมริกัน มาเป็นแม่ของลูก สำหรับภรรยาคนนี้ คุณบัณฑิต เล่าว่า เธอมีตัวแบบที่ดีจากคุณแม่ของเธอที่เลี้ยงลูก 6 คนให้เก่ง และดีได้อย่างสมดุล จึงมีความมั่นใจ และเชื่อมั่นว่า เธอจะเป็นแม่แบบที่ดีของลูกเหมือนกับแม่ที่สอนให้เธอเป็นกุลสตรีที่ดีในวันนี้

กับบทบาทแม่ของลูกสาว 3 คน (ลิซ่า ลีน่า และแอนนา) "แมรี่" เล่าเผยว่า แนวการเลี้ยงลูก เธอจะเปิดโอกาสให้ลูกได้มีประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ เพื่อจะได้ค้นหาสิ่งที่ถูกใจ และเป็นสิ่งที่ลูกทั้ง 3 ชอบ ไม่ว่าจะพาไปเที่ยว ฟัง หรือเล่นดนตรี โดยเฉพาะเรื่องหลัง เธอจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เหมือนกับสามีที่เชื่อในพลังของดนตรี ที่มีส่วนสัมพันธ์กับพัฒนาการทางสมองของ ลูก

"แมรี่จะให้ลูกได้สัมผัสกับดนตรีตั้งแต่อยู่ในท้อง เป็นสิ่งที่ครอบครัวเราให้ความสำคัญมาก เวลาเปิดเพลง โดยเฉพาะเพลงคลาสสิก จะมีผลต่ออารมณ์ของลูกอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างจากลูกสาวคนโต ตอนเล็กๆ จะงอแงมาก เวลาอยู่ในรถ เขาจะ ร้องงอแง ซึ่งตอนนั้นอายุประมาณ 3-4 เดือน แต่ถ้าเราเปิดเพลงกีตาร์คลาสสิกให้ฟัง เขาจะหยุดร้องทันที" คุณแม่แมรี่เชื่อในพลังดนตรีที่มีผลต่ออารมณ์ของลูก

อำนวยเพลงให้กับวงซิมโฟนี่ ออเคสตร้าระดับโลก
ด้าน "คุณพ่อบัณฑิต" ให้ข้อมูลเสริมว่า การเปิดเพลงให้ลูกฟังตั้งแต่เล็ก ถือเป็นการสร้างตัวอย่างที่ดีที่สุดให้กับลูก เพื่อที่เวลาจับเครื่องดนตรี จะเรียนได้เร็วกว่าเด็กที่ไม่ค่อยสัมผัสกับเสียงเพลงมาก่อน ดังนั้นวันว่าง บ้านเราจะมีการร้องเล่นกันเองในครอบครัว เพราะเชื่อว่า การที่ลูกได้ฟัง และเล่นดนตรี จะส่งผลต่อสมอง ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางพัฒนาการเด็ก เพราะเด็กที่ฟัง และเล่นดนตรี จะมีพัฒนาการทางสมองที่สูงกว่าเด็กทั่วไป โดยเฉพาะดนตรีคลาสสิคที่มีความสมบูรณ์แบบ และมีจังหวะที่สม่ำเสมอ

"จากที่ผมเปิดเพลงโมสาร์ทในจังหวะนุ่มนวล ผ่อนคลายให้ลูกฟังบ่อยๆ สังเกตได้เลยว่า อารมณ์ของลูกมีการเปลี่ยนแปลง จากเด็กที่วิ่งซน กลายเป็นเด็กนิ่ง และดื้อน้อยลง ซึ่งเป็นอะไรที่ผมเห็นได้ชัดมาก ดังนั้นเมื่อเด็กมีอารมณ์ผ่อนคลาย การเรียน รู้ในสมองจะง่ายขึ้น บางคนบอกว่า ฟังแนวนี้แล้วหนักหัว ฟังไม่รู้เรื่อง แต่สิ่งที่อยากบอกคือ ดนตรีคลาสสิกมีหลายประเภท แนวเพลงโมสาร์ทในแบบของเด็กก็มี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าจะให้เด็กฟัง ผู้ใหญ่ต้องฟังเพราะด้วย" คุณพ่อบัณฑิตเชื่อในพลังของดนตรี

พ่อแม่-คนบันดาลใจให้ลูกรักดนตรี

สำหรับวิธีการสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกรักในเสียงดนตรีนั้น คุณพ่อบัณฑิตเผยว่า ต้องทำให้ลูกรักดนตรีก่อน โดยไม่ไปบังคับ หรือเคี่ยวเข็ญให้ลูกต้องเล่นดนตรี นั่นจะทำให้เด็กเกลียดดนตรี แต่โดยธรรมชาติของเด็ก จะรักเสียงดนตรีอยู่แล้ว ดังนั้นควรมอบความรักในเพลงให้เด็ก โดยเปิดเพลงนำร่องให้ฟังก่อน เพลงไหนที่ลูกชอบ ก็ให้ลูกเล่นนั้น แต่สำหรับบ้านนี้ ลูกสาวคนโต จะชอบเพลง โดเรมี จากเดอะซาวด์ออฟมิวสิค ทำให้เกิดความพยายาม และเลียนแบบจนสามารถเล่นได้สำเร็จ

คุณแม่แมรี่ กับลูกสาวสุดที่รัก
"ถ้าลูกชอบ และเล่นเพลงที่ชอบได้แล้ว มันจะเป็นจุดต่อเนื่องที่จะทำให้เด็กอยากเล่นเพลงอื่นๆ ต่อไป ซึ่งเรากับเขาสนุกไปด้วยกัน ภูมิใจในความสำเร็จด้วยกัน ตรงนี้จะยิ่งเสริมแรงบันดาลใจให้ลูกได้เป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องทำเป็นอาชีพ หรือต้องเป็น แบบพ่อ

แต่สิ่งที่ลูกได้ คือการตักตวงผลประโยชน์จากดนตรี ไม่ใช่เล่นเพื่อเป็นนักดนตรีอาชีพ เพราะมันยาก และใช่ว่าทุกคนจะทำได้ ซึ่งคุณต้องรัก และอยากได้มันมาจริงๆ แต่ถ้าลูกอยากทำ ก็โอเค แล้วแต่ลูก แต่ประเภทที่พ่อแม่หลายคนมักจะไปบังคับให้ ลูกต้องเรียนอันนี้ ต้องเล่นเวลานี้ ผมว่ามันไม่ได้ผล และจะทำให้เด็กเกลียดดนตรี"
คุณพ่อบัณฑิตกล่าว

นอกจากเรื่องของดนตรีแล้ว คุณพ่อบัณฑิตยังเน้นในเรื่องของการคิดวิเคราะห์ เพื่อสร้างฐานการคิดให้กับลูก โดยจะเน้นในเรื่องของชีวิตประจำวันให้ลูกรู้จักกับเหตุ และผล เช่น ทำแบบนี้ จะเกิดผลอะไรตามมา เป็นการเรียนรู้จากการกระทำของลูกเอง โดยไม่วางกรอบให้ลูกไปเสียทุกอย่าง

อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าเด็ก ธรรมชาติของเด็กทุกคน ต้องดื้อ และไม่เชื่อฟังบ้างเป็นธรรมดา ทำให้พ่อแม่บางคนที่ไม่อยากตีลูก แต่ต้องจำยอม เพราะทนกับพฤติกรรมของลูกไม่ไหว แต่สำหรับบ้านนี้ คุณแม่แมรี่ จะใช้วิธีการทำโทษแบบสร้างสรรค์ แทนการตี เรียกว่า "Naughty chair" หรือ "เก้าอี้สำหรับเด็กดื้อ" เพื่อให้ลูกที่ดื้อ หรือกระทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม นั่งสำนึกในความผิดของตัวเอง ประมาณ 2-3 นาที โดยเฉพาะลูกคนเล็ก ที่ขึ้นชื่อเรื่องความซน และชอบกัดคนในบ้านเป็นประจำ

อย่าทำร้ายเด็กด้วย "การเปรียบเทียบ"

คงจะปฏิเสธได้ยากว่า คนบางกลุ่มในสังคมชอบชูโล่ของความเก่งเป็นที่ตั้ง จนบางครั้งไปทำร้ายเด็กด้วยการเปรียบเทียบ โดยเฉพาะเด็กที่มีพ่อแม่เป็นที่รู้จัก หรือมีหน้ามีตาในสังคม เป็นต้นว่า "ทำไมไม่เก่งเหมือนพ่อ ทำไมไม่เก่งเหมือนแม่"

กับเรื่องนี้ "คุณพ่อบัณฑิต" เผยมุมมองว่า "คนแต่ละคนถูกสร้างมาเพื่อมีความสามารถพิเศษคนละอย่าง ไม่ควรมาเปรียบ เทียบว่า ทำไมไม่เก่งเหมือนพ่อ นั่นเพราะเขาไม่ได้ถูกสร้างให้เป็นแบบนั้น ซึ่งไม่ควรไปเอาความสำเร็จไปวัดค่าของคน เพราะการไปเปรียบเทียบกับใครคนใดคนหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นพ่อแม่ของเขาก็ตาม จะยิ่งทำร้ายเด็ก ลดความเป็นตัวเองของเด็กลงได้ เหมือนเป็น การดูถูกเด็กอย่างหนึ่ง"

"ผมอยากเห็นลูกของผมทั้ง 3 คน โตขึ้นมาโดยใช้ศักยภาพของตัวเองให้มากที่สุด หาความพิเศษ และสิ่งที่เก่งในตัวให้ เจอ และพัฒนาในสิ่งนั้นๆ ให้ถึงที่สุด โดยผม และภรรยาในฐานะพ่อแม่จะเป็นผู้สนับสนุนอยู่ข้างหลัง ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องเป็นนักดนตรี ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอ และไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ตามคนอื่น แต่ขอให้ลูกหาในสิ่งที่ตรงกับใจเขาให้เจอ แค่นี้ผมก็แฮปปี้แล้ว"

คุณพ่อบัณฑิตกล่าวทิ้งท้าย


ไม่มีความคิดเห็น: