วิกฤติ..ชีวิตเมื่อยาม"ชรา" ถูกทอดทิ้ง-ปล่อยเป็นเร่ร่อน-สังคมมองข้าม |  |
|  | สถานการณ์ผู้สูงอายุในสังคมไทยกำลังเป็นที่น่าวิตก และถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว มีแนวโน้มเพิ่มสูงถึงกว่า 4 แสนคน เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ และสังคมที่เปลี่ยนไป ความรักความผูกพันธ์ในครอบครัวน้อยลง คนในครอบครัวมัวแต่สนใจเรื่องการทำงานเก็บเงิน จนอาจมองข้ามความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว กลายเป็น"กระแสทุนนิยม"
จากข้อมูลของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) พบ มีประชากรผู้สูงอายุไทยในปี พ.ศ.2551 ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป 7.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ11.1 ของประชากรทั้งหมด อายุคาดหมายการคงชีพ เมื่อแรกเกิด 71.7 ปี ประชากรอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไปมีจำนวนเพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุหญิงมีแนวโน้มอายุยืนยาวกว่า แต่เจ็บป่วยโรคเรื้อรัง ในขณะที่ผู้สูงอายุชาย มีแนวโน้มที่จะเจ็บป่วยด้วยโรคที่นำไปสู่การเสียชีวิตทันที ผู้สูงอายุวัยปลาย 80 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการทำกิจวัตรประจำวัน
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุที่พบบ่อยที่สุด คือ "ความรู้สึกเหงา" สูงถึงร้อยละ 51.2 ของผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว รองลงคือ ปัญาหาไม่มีคนดูแลท่านเมื่อเจ็บป่วยร้อยละ 27.5 ปัญหาด้านการเงินที่ต้องเลี้ยงชีพ ร้อยละ 15.7 และ ร้อยละ 5.3 ไม่มีลูกหลานมาช่วยแบ่งเบาภาระภายในบ้าน
จากปัญหาการถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้น ผู้สูงอายุเหล่านี้จึงต้องทำงานหารายได้ และการออมเงินเองที่ทำงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ37.3 ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรม แต่การทำงานนอกภาคเกษตรก็เพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุร้อยละ 62.0 ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง และมีสัดส่วนการเป็นลูกจ้างเอกชนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ13.3 ผู้สูงอายุมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นแต่ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยลดลง กล่าวคือ มีรายได้เฉลี่ย 6,900 บาทต่อเดือน ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยลดลงเหลือ 41.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ยังมีแรงงานผู้สูงอายุนอกระบบเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ91.4 แนวโน้มจำนวนผู้สูงอายุที่ยากจนลดลงเหลือ 1.19 ล้านคน สถานการณ์การออม พบว่า สัดส่วนการออมส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นจากเดิม แต่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงในชีวิต และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศได้ ปัจจุบันการออมเพื่อวัยสูงอายุมีทั้งแบบบังคับ และแบบสมัครใจ เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น
ในขณะที่ผู้สูงอายุยังคงต้องทำงานเพื่อหารายได้ จนเกิดปัญหาด้านสุขภาพที่อาจกลายเป็นอุปสรรคในการทำงาน และการเนินชีวิต เนื่องจากสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงตามกาลเวลา ส่งผลให้สุขภาพอ่อนแอ ช่วยเหลือได้น้อยลง อีกทั้งสังคมก็ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุเกิดความรู้สึกในทางลง มองตนเองเป็นผู้ไร้ประโยชน์ และเป็นภาระของสังคม เกิดความสับสนทางอารมณ์ จิตใจ และความเชื่อมั่นในตนเองลดน้อยลง ท้ายสุดทำให้ผู้สูงอายุเหล่านี้อยู่ในภาวะอารมณ์เศร้า ท้อแท้ ผิดหวัง และมีปมด้อย
ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุประเมินสุขภาพตนเอง ว่า มีสุขภาพดีร้อยละ44.0 ผู้สูงอายุ ร้อยละ57.7 มีปัญหาการมองเห็น และยิ่งอายุมากขึ้น ปัญหาการได้ยินจะสูงขึ้นแบบทวีคูณ ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุง่าย กรณีพลัดตกหกล้ม สูงถึงร้อยละ 40.4 มีผู้สูงอายุที่พิการ ร้อยละ 15.3 ซึ่งผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีความยากลำบากในการทำกิจวัตรประจำวัน ร้อยละ 88.9 ต้องการความช่วยเหลือและสวัสดิการจากรัฐ โดยผู้สูงอายุวัยกลาง 70 - 79 ปี พบว่า โรคของผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ และโรคเบาหวานตามลำดับ ในการดูแลและสวัสดิการผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ90 ยังคงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากสมาชิกครอบครัวของตนเอง แม้ว่าขนาดของครอบครัวเล็กลง นอกจากยังมีการดูแล และสวัสดิการผู้สูงอายุโดยภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรสาธารณประโยชน์
ขณะที่ น.ส.วิจิตรา พันธ์แสง หัวหน้าโครงการศึกษาโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ มูลนิธิกระจกเงา บอกว่า จากการสำรวจศึกษาคนเร่ร่อนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบ ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งให้เป็นบุคคลเร่ร่อนมีมากขึ้นถึงร้อยละ30 ของจำนวนผู้ที่เร่ร่อนทั้งหมด และส่วนใหญ่ร้อยละ15 เป็นโรคสมองเสื่อม ซึ่งผู้สูงอายุกลุ่มนี้จะไม่ค่อยได้รับการดูแลจากครอบครัว และถูกทิ้งให้อยู่ภายในบ้านเพียงลำพังโดยที่ไม่มีใครสนใจ และไม่มีใครทราบว่าผู้สูงอายุมีโรคสมองเสื่อม จนทำเกิดอาการน้อยใจ และเดินออกมาจากบ้าน และไม่สามารถกลับเข้าบ้านใหม่ได้
บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่ญาติผู้ดูแล ไม่ต้องการอยู่แล้ว จึงไม่มีการตามหา หรือการแจ้งความกับตำรวจ ซึ่งจะปล่อยให้ผู้สูงอายุต้องเผชิญชีวิตในสังคนเพียงลำพังกลายเป็น"คนเร่ร่อน" โดยเป็นผู้ที่มีอายุระหว่าง 60 ปีขึ้นไป แต่ก็มีบางส่วนที่ญาติแจ้งความ และติดตาม...
น.ส.วิจิตรา บอกอีกว่า นอกจากนี้ยังมีผู้สูงอายุถูกทิ้งตามสถานพยาบาล โดยญาติผู้สูงอายุพาเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลต่างๆ เมื่อผู้สูงอายุอาการดีขึ้น จะปล่อยทิ้งไว้โดยขาดการติดต่อจากญาติ และผู้สูงอายุบางคนถูกญาตินำมาทิ้งไว้ที่หน้าโรงพยาบาล ซึ่งกลุ่มนี้มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นทุกปีอย่างน่าตกใจ ทางมูลนิธิกระจกเงา มีการลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาพรวมทั้งหมดตลอด เพื่อประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐ ในการนำผู้สูงอายุไปบำบัดฟื้นฟูให้ผู้สูงอายุสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ก่อน หลังจากนั้นจึงติดตามญาติเพื่อมารับตัวไปดูแลต่อไป หากไม่มีญาติจริงก็นำตัวเข้าสู่สถานสงเคราะห์ของภาครัฐ
"ปัจจุบันภาครัฐจะให้ความสนใจผู้สูงอายุน้อยลง ดูเหมือนเป็นกลุ่มที่ถูกละเลย เพราะถูกมองว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่มีค่า และไร้ประโยชน์ และกลับเป็นภาระของสังคม แต่หากช่วยเหลือ ก็ถูกนำไปกองรวมกันในสถานสงเคราะห์ต่างๆ โดยที่ไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ไม่มีกิจกรรม หรือไม่มีการนำไปบำบัดฟื้นฟูจิตใจที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ แต่รัฐบาลกลับจะให้ความสนใจกับเด็กมากกว่า เพราะมองว่าเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต" น.ส.วิจิตรา กล่าว
นั้นเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าถึงสังคมไทยเปลี่ยนไปจากเดิม จากกระแสการบริโภคนิยมและความผูกพันธุ์กับผู้สูงอายุในครอบครัวลดน้อยลงมาก เราควรหันมาสนใจผู้สูงอายุ คือ ดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเวลาปกติหรือเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หาโอกาสพาไปพักผ่อน หากิจกรรมให้ทำในเวลาว่าง เป็นการสร้างความอบอุ่น และความสัมพันธ์ที่ดีของสมาชิกในครอบครัว
SCOOP@NAEWNA.COM |
| |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น