การเมืองม็อบบุกกรุง สลายความขัดแย้งแนว "พุทธ" |  |
|  | ความปั่นป่วน แตกแยกในบ้านเมืองยังไม่มีทีท่าจะยุติ ประเทศชาติยามนี้เปรียบเสมือนเรือ ที่มีแต่"รูรั่ว"รอวันจมสู่ก้นทะเลลึก หนทางอยู่รอดของไทยทุกคนคือต้องมีความปรองดอง ใช้สติ และปัญญา เพื่อแก้ปัญหา
วันนี้ "สกู๊ปแนวหน้า" ขอเชิญ ข้อคิดบางช่วง บางตอนจากหนังสือชื่อ "สลายความขัด แย้ง"วิสัชนาธรรมโดย พระเดช พระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) วัดญาณเวศกวัน มานำเสนอ เพื่อหวังให้เป็น "หลักคิด" ท่ามกลางความวุนวายต่างๆ ในบ้านเมือง
ปุจฉา : ในเรื่องการสร้างสังคมแห่งความสมานฉันท์..."เครื่องมือ"หรือว่า"หลักธรรม"สำคัญเช่น"อริยสัจ 4" มีหลักคิดเริ่มต้นอย่างไร ?
วิสัชนา: "อริยสัจ 4" นั้นเป็นหลักใหญ่ ซึ่งครอบคลุมทั้งหมด มีลักษณะที่เรียกว่าเป็นระบบ เป็นทั้งระบบที่ทำให้เรามองเห็นว่า มีองค์ประกอบอะไรบ้าง และองค์ประกอบเหล่านั้นจะ ต้องมาประสานสัมพันธ์ ทำหน้าที่ต่อเนื่องกันอย่างไร แล้วก็เป็นทั้งกระบวนการในการปฏิบัติว่าจะดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไร ในเมื่อมันเป็นตัวระบบใหญ่ เราก็ต้องรู้จักก่อน แต่แค่นั้นไม่พอ เราจะต้องไปขยายในแง่ของปฏิบัติการ หรือขั้นวิธีการให้ละเอียดออกไป
ทีนี้หลักอริยสัจ หรือ "ระบบอริยสัจ" นี้ เป็นระบบที่เริ่มจาก "ปัญหา" ซึ่งภาษาพระเรียก ว่า"ทุกข์" คือ สภาวะบีบคั้น สิ่งที่ติดขัด บีบคั้น คับข้อง พูดตามภาษาไทยก็คือ ปัญหานั่นเอง พอเจอปัญหา หรือ ทุกข์ เราก็หาทางแก้ไข และในการแก้ไขนั้น หลักอริยสัจ ก็บอกว่าต้องสืบสาวเหตุปัจจัย ของมันว่าทุกข์หรือปัญหาเกิดจากอะไร ข้อนี้เรียกว่า "สมุทัย"
เมื่อสืบสาวหาเหตุปัจจัยได้ เราก็จะมองเห็นไปพร้อมกันในตัวว่า ทางแก้เป็นอย่างไร...เราก็ต้องทำ ขั้นที่ 3 ให้ชัดก่อน คือการ "เล็งจุดหมาย" อันได้แก่ ภาวะปลอดปัญหา หรือพ้นทุกข์ดับปัญหาได้ ซึ่งเราจะต้องดูว่า มันเป็นไปได้จริงไหม และเป็นไปได้แค่ไหน...คือเอาความต้องการมาดูความเป็นไปได้ แล้วก็ตั้งเป้าหมายขึ้น มาเรียกว่า"นิโรธ"
พอตั้งนิโรธแล้ว ต่อจากนั้นก็มาสู่การวางข้อปฏิบัติ หมายความว่าเมื่อวางจุดหมายได้ ตั้ง เป้าหมายชัดแล้ว เราก็จะมีทิศทาง ทีนี้ก็วางวิธีปฏิบัติเพื่อดำเนิน ไปสู่จุดหมายนั้น เป็นขั้นที่ 4 เรียก ว่า "มรรค" ซึ่งก็คือ "วิธีการ" หรือ "หนทาง"
...เคยยกตัวอย่างบ่อย ๆ เช่น เรื่อง "ไฟไหม้" เป็นทุกข์ คือเป็นปัญหาจะดับอย่างไร ก็ต้องรู้ว่าเหตุปัจจัยของไฟมีอะไรบ้าง เช่นว่า มีเชื้อ มีอุณหภูมิสูงพอ แล้วก็มีออกซิเจน เมื่อเรารู้เหตุปัจจัยอย่างนี้แล้ว เราก็รู้เลยว่า ถ้าเหตุปัจจัยนี้หมดไป "ไฟก็จะดับ" คือ เชื้อหมดหนึ่ง หรือ ออกซิเจนไม่มีหนึ่ง หรืออุณหภูมิต่ำเย็นลงไปหนึ่ง อย่างใด อย่างหนึ่งก็ได้ แค่นี้ไฟก็ดับแล้ว
นี่เรียกว่าสืบสาว"สมุทัย" ได้แล้วพอรู้กระบวนการของธรรมชาติ ข้อ 2 ก็มาแล้ว คราวนี้ก็ต่อไปข้อ 3 ตั้งจุดหมายได้เลย การตั้งจุดหมายนี้จะสัมพันธ์กับ "ความเป็นจริง" และวิสัยของเราที่ทำได้คือ "เราจะดับไฟ" โดยสอดคล้องกับความจริง ของกระบวนการนี้ ซึ่งสามารถบอกว่า เราจะเอาข้อไหน จะเอาข้อให้ไม่มีออกซิเจน หรือจะให้อุณหภูมิต่ำ หรือจะให้ไม่มีเชื้อ หรือเอาทั้งสาม หรือเอาข้อไหนเด่น แล้วก็ตั้งเป้าหมายจะทำ ให้เกิดความจริงที่เป็นผลขึ้นมา
พอวางเป้าหมายนี้เสร็จ ทีนี้ก็วางวิธีปฏิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เช่นต้องสร้าง(หรือซื้อ) รถดับ เพลิง และให้มีถังเก็บน้ำได้เท่านั้น เท่านี้ลิตร แล้วต้องมีท่อมีสายยาวเท่าไร มีบันไดสูงแค่ไหน แล้วต้องฝึกพนักงานดับเพลิง ต้องจัดเตรียมกระบวนการ และวิธีปฏิบัติต่างๆ ซึ่งมีรายละเอียด เยอะแยะ
...ทั้งหมดนี้ก็คือมรรค มรรคคือกระบวนวิธีปฏิบัติของมนุษย์ ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ เพื่อให้ผลเกิดขึ้นตามกระบวนการของธรรมชาตินั้น ถ้ามนุษย์ปฏิบัติไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ก็ไม่สำเร็จ เพราะ ฉะนั้นมรรค ก็คือการโยงวิธีปฏิบัติของมนุษย์ ไปเชื่อมต่อให้ได้ผลตามกระบวนการ เหตุปัจจัยของธรรมชาติ ถ้าครบตามกระบวนนั้น ก็บรรลุผลเป็นนิโรธ
แม้แต่ "นักปลุกระดม" ก็ต้องใช้วิธีอริยสัจ รัฐบาลจะพัฒนาประเทศ ก็ไปได้สวยด้วยอริย สัจ เป็นหลักใหญ่ นำมาใช้ได้ในทุกเรื่อง แม้แต่ในกรรมวิธี ที่เรียกว่า "การปลุกระดม" ก็ต้องใช้วิธีอริยสัจ เหมือนกัน แต่ผู้ใช้จะมีเจตนาดีหรือไม่ดีก็อีกเรื่องหนึ่ง คือ อริยสัจนี้ พระพุทธเจ้าทรงวางไว้สำหรับใช้ 1.ในการแก้ปัญหา 2.ในการสอน และในเชิงการสอนนี่แหละจะเอาไปใช้ในการชักจูง จนถึงปลุกระดมก็ได้
พระพุทธเจ้า เวลาสอนก็ทรงสอนแบบอริยสัจโดยเริ่มที่ทุกข์ ยกปัญหาขึ้นมาตั้ง แล้วช่วยให้เขาสืบหาสาเหตุ เสร็จแล้วก็กำหนดจุดหมาย แล้วก็วางวิธีปฏิบัติ ทีนี้การสอนตามวิธีอริยสัจนี้ ก็สามารถ นำมาใช้ในการปลุกระดมให้ได้ผล จะเห็นว่า การปลุกระดมนั้น ก็ต้องชี้ปัญหาก่อน เช่นไปเที่ยวบอกว่าสังคมไทยเวลานี้เลอะเทอะ เลวร้ายอย่างโน้นอย่างนี้ คนเอารัดเอาเปรียบกัน ยากจนแร้นแค้น พรรณนาให้มันน่าเกลียด น่าชังที่สุด ใครทำได้เก่ง ก็ยิ่งได้ผล นี่คือ พรรณนาทุกข์
พอคนเห็นทุกข์ น่าเกลียดน่าชัง น่ากลัวนักหนาเต็มที่แล้ว ก็ถึงข้อ 2 ชี้เหตุให้ว่า เจ้านั่นที เดียว เป็นตัวการ ที่มันยุ่งทั้งหมด มันร้ายอย่างนี้ ก็เพราะเจ้าตัวนี่ หรือพวกนี้เป็นต้นเหตุ ตอนนี้คนก็เพ่งก็จ้องเลยว่า จะต้องจัดการกำจัดพวกนี้ให้หมด พอคนเขม้นมองอย่างนี้แล้ว ก็บอกเป้าหมายที่หวังว่า ถ้าหากเรากำจัดเจ้าตัวการนั้นและแก้ปัญหาได้ เราจะมีสังคมที่สดใส มีความสุขสมบูรณ์อย่างนั้น อย่างนี้
อย่างสมัยที่เขาปลุกระดมเมื่อ 30 ปีก่อน เขาใช้คำ ว่า "ท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ" นั่นก็คือขั้นที่ 3 "นิโรธ" ตั้งจุดหมาย ทีนี้จุดหมายยิ่งน่า ไปเท่าไร คนก็จะยิ่งเร่งเร้าและฮึกเหิม มีกำลังใจตอนปลุกนิโรธ จึงต้องพูดให้เห็นภาพว่า จุดหมายนี้มันดีอย่างนั้นๆ สังคมในอุดมคติแสนจะดีเหลือเกิน คนก็อยากไปกันใหญ่
พอได้ที่ตอนนี้ใจขึ้นหมดแล้ว มันรู้และมุ่งเขม้นไปยังจุดที่จะจัดการหมดแล้ว ก็ถึงขั้นที่ 4 คือ "มรรค" ก็วางวิธีเลยว่าจะต้องจัดการอย่างนั้นๆ ตอนนี้ไปได้เลย ไม่ว่ายากแค่ไหนก็เอาทั้งนั้นนี่คือวิธีอริยสัจ ซึ่งใช้ได้หมด แม้แต่ในการปลุกระดม รัฐบาลก็เหมือนกัน ถ้าเก่งก็ต้องเอาวิธี อริย สัจ มาใช้ ในการรวมใจประชาชน ให้มาช่วยกันแก้ปัญหา และสร้างสรรค์ประเทศชาติ เช่น ให้ประชา ชน ตื่นตัวตระหนักรู้ว่า...
เวลานี้ปัญหาของประเทศชาติที่สำคัญคืออะไร ?
แต่ต้องทำด้วยใจสุจริตไม่ได้คิดแกล้งใคร ชี้ปัญหาให้ชัด แล้วก็เจาะลงไปให้ถึงตัวสาเหตุ และประดาปัจจัย แล้วตั้งจุดหมายให้ร่วมเห็น และร่วมใจกันว่าจุดหมายนั้นดีน่าไป จนเกิดเป็นความ หวังร่วมกัน แล้วก็บอกวิธีปฏิบัติ ถึงตอนนี้จะยากเท่าไร ก็สู้ทั้งนั้น
คนเรานี้ถ้าเห็นว่า จุดหมายดีจริง และเห็นความหวังชัด เขาก็สู้เหมือนกับพระพุทธเจ้า ทรงสอนอริยสัจ ก็ต้องให้พระหรือคนที่ฟังชัดก่อน พอเขาชัดว่าถ้าแก้ไขเรื่องนั้นสำ เร็จ จะดีอย่างไรแล้ว ยากเท่าไรก็สู้ แต่ถ้าไปบอกวิธีปฏิบัติก่อน เขาเห็นเรื่องต้องทำมาก มายจุกจิก มันยาก เขาก็ถอยตั้งแต่ต้นเลย...
ความวุ่นวายในบ้านเมืองยุติลงเร็วเท่าไหร่ จะส่งผลดีต่อประเทศชาติและคนไทยให้ฟื้นตัว เร็วเท่านั้น หนทางสลายความขัดแย้งแนวพุทธ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยในสภาวะ การณ์เช่นนี้...
SCOOP@NAEWNA.COM |
| |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น