
เมื่อกลางวันที่ 12 มีนาคม ที่ผ่านมา สภ.บันนังสตา สนธิกำลังหลายฝ่ายปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมายพื้นที่ ต.ตาเนาะปูเต๊ะ ขณะรถกระบะวิ่งอยู่บนถนนสายบ้านตาเนาะปูเต๊ะ-บ้านทับช้าง ถนนขึ้นเนินเขา 2 ข้างทางเป็นสวนยางพารา คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบกดระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนัก 20 กม. ฝังไว้ใต้พื้นถนน จากนั้น คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มซ้ำ
"สิ้นเสียงระเบิด และกระสุนปืน" ร่าง "พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา" ผกก.สภ.บันนังสตา ฉายา "มือปราบ กระดูกเหล็ก" แนบนิ่งอยู่กับพื้น ขณะที่ลูกน้องได้รับบาดเจ็บอีก 4 นาย ต้องรีบนำ "พ.ต.อ.สมเพียร" ส่ง รพ.ยะลา สุดท้าย"มือปราบ กระดูกเหล็ก"ทบพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา สร้างความสะเทือนขวัญต่อวงการตำรวจ และประชาชนทั้งชาติ จากการจากไปของ "วีรบุรุษผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" ที่ชื่อว่า...
"พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา"
เข้ารับราชการครั้งแรก หลังจบโรงเรียนตำรวจภูธรภาค 9 ยะลา นพต.รุ่นที่ 15 เมื่อปี 2513 ตำรวจชั้นประทวน เริ่มรับราชการครั้งแรก ในตำแหน่ง ผบ.หมู่ ป.สภ.บันนังสตา มาตลอด ในช่วงที่พวกขบวนการโจรก่อการร้ายได้ปะทุทวีความรุนแรงขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ "จ่าเพียร"ทำงานด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทในการปฎิบัติหน้าที่ จนเป็นที่ไว้วางใจผู้บังคับบัญชา และได้ติดตาม พ.ต.ท.สนิท เพียรทอง สวญ.สภ.บันนังสตา (ตำแหน่งในขณะนั้น)ออกปราบปราม ขจก.มาตลอด สามารถวิสามัญคนร้ายได้ร่วม 100 ศพ
จากชีวิตตำรวจที่คลุกคลีอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด เขาได้สร้างผลงานด้านการปราบปราม ต่อสู้กับโจรก่อการร้ายอย่างห้าวหาญ สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ จึงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญมาลาเข็มกล้ากลางสมร (ร.ม.ก.)

จนทางกรมตำรวจ(ในขณะนั้น) ได้ให้เข้าศึกษาหลักสูตรนายตำรวจเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ต้องสอบ หลังจากจบมาแล้วติดยศ ร.ต.ต.ได้โอนไปสังกัด ตม.ประจำอยู่ในพื้นที่ จ.สงขลา ระยะหนึ่ง แต่ต้องขอย้ายกลับรับราชการวนเวียนอยู่ในภาคใต้ตอนล่างมาตลอด แต่ไม่วายถูกร้องเรียนจนต้องย้ายออกจากพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อมาหลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อปี 2547 ที่ผ่านมา ในปี 2550 เขาได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธร สภ.บันนังสตา จ.ยะลา แห่งเดียวกับที่เริ่มรับราชการครั้งแรก เมื่อยังเป็นตำรวจชั้นประทวน
นั้นตั้งแต่เป็น "พลตำรวจ" จนถึงยศ "พันตำรวจเอก " เขาได้เข้าทำการปะทะต่อสู้กับโจรก่อการร้าย โจรจีนคอมมิวนิสต์ มาแล้วนับ 100 ครั้ง สามารถสังหารฝ่ายตรงข้าม ยึดอาวุธปืน และที่พักเป็นจำนวนมาก ซึ่งผลในการนำกำลังเข้าปะทะกับโจรก่อการร้ายดังกล่าว ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บทั้งเล็กน้อยและสาหัส จำนวน 8 ครั้ง วิสามัญผู้ร้าย 22 คน
อย่างเช่นในปี 2519 ได้ยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้าย ที่จับกุมตัวตำรวจ และครอบครัวไปเรียกค่าไถ่ ที่เทือกเขาเจาะปันตัง อ.บันนังสตา จ.ยะลา ผลการปะทะทำให้ เขาถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณขาซ้าย หน้าอกได้รับบาดเจ็บสาหัส และจากการปะทะในครั้งนี้ทำให้ขาข้างซ้ายแทบพิการ ในปี 2526 ได้ยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้าย กลุ่มนายคอเดร์ แกแตะ กับพวกประมาณ 30 คน ที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ทำให้ได้รับบาดเจ็บถูกยิงที่ต้นขาขวากระสุนฝังใน
จากการทำงานในชายแดนภาคใต้มากว่า 40 ปี "เหลืออายุราชการ" อีกแค่ไม่ถึงปีจะเกษียณ เมื่อถึงช่วงปลายชีวิตราชการน่าจะได้ไปพักผ่อนในสถานที่สบายๆ จึงขอให้พิจารณาโยกย้ายไปเป็น ผกก.สภ.กันตรัง จ.ตรัง แทนตำแหน่งเดินที่ว่างอยู่ โดยทำหนังสือขอสมัครใจย้ายไปยังที่ดังกล่าวกับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา (สบ.10) ก็รับปากจะดำเนินการให้ แต่ก็ไม่ได้ย้าย จึงเดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่าการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งที่ผ่านมาไม่เป็นธรรม ขณะที่เวลาห่างไปไม่กี่วัน และนัดกับเพื่อนว่า วันที่ 16 มีนาคมนี้ จะเข้าท้วงถามความคืนหน้ากับนายกฯ อีกครั้ง แต่ "มือปราบ กระดูกเหล็ก" ก็มาจบชีวีตลง ทามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึง...
"ความไม่เป็นธรรมของการโยกย้ายตำรวจ"...!!
ขณะที่ นางพิมพ์ชนา ภูวพงษ์พิทักษ์ ภรรยา กล่าวด้วยน้ำตาว่า ภูมิใจที่ พ.ต.อ.สมเพียรได้ทำหน้าที่จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต แต่เสียใจตรงที่ไม่ได้ย้ายไป ถ้าได้ย้ายก็คงไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ตนเองรู้สึกผิดหวังกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะว่าสามีเป็นคนทำงาน คนแข็งแกร่ง ไม่เคยขออะไรเลยจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การเดินทางไปร้องเรียนเรื่องการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการโยกย้าย ก็ล้าเต็มที่ จึงได้บากหน้าไปขอความอนุเคราะห์ ขอความเห็นใจที่จะขอย้ายจริงๆ เพราะอีก 8 เดือน ก็เกษียณอายุราชการ เพื่อขออยู่กับครอบครัว ลูกหลาน ในบั้นปลายของชีวิตเท่านั้น เพราะสามีเหนื่อยมามากแล้วทำงานมากว่า 39 ปี เขารักในการเป็นตำรวจ และเขาเคยพูดเสมอว่าจะไม่ขอตายในเครื่องแบบ แต่วันนี้เขาได้ลืมคำพูดคำนี้ไปแล้ว

เมื่อก่อนเคยปะทะกับคนร้ายอาการสาหัส และตอนนั้นสามีอยากจะไปอยู่ที่สบายๆแถวภาดอีสาน หรือภาคเหนือ แต่พอเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ สามีกลับไม่ขอไปที่อื่น แต่จะขอมาอยู่ที่ อ.บันนังสตา เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกโจรฆ่าตายรายวัน หลังจากที่สามีมาอยู่ที่ สภ.บันนังสตา วันแรก สามีถึงกับสงสารตำรวจ ที่โรงพัก เพราะบริเวณโดยรอบมีแต่รั้วลาดหนามเต็มไปหมด เมื่อสามีมาอยู่ก็ได้สั่งให้รื้อลวดหนามออก และบอกกับลูกน้องทุกคนว่า เราคือ "ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์" จะไปกลัวทำไมกับโจร หากเรากลัวแล้วชาวบ้านจะอยู่กันอย่างไร และจะเชื่อมั่นตำรวจได้อย่างไร
นางพิมพ์ชนา กล่าวอีกว่า สามีได้พูดเสมอว่าก่อนที่จะเกษียณราชการ สามีเขาอยากจะขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ ชีวิตของสามีเมื่ออยู่บ้านก็เหมือนกับตาแกคนหนึ่งที่อยู่บ้านเลี้ยงหลาน สามีเป็นคนใจดีมากไม่ว่ากับที่บ้านหรือลูกน้อง แต่เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาไม่กลัวใคร ชีวิตในครอบครัวไม่มีวันปีใหม่ ไม่มีวันสงกรานต์หรือเทศกาลสำคัญใด ๆ เพราะสามีบอกว่าจะต้องไปอยู่โรงพักเตรียมความพร้อมและดูแลลูกน้อง ส่วนผู้เป็นภรรยาต้องมีความอดทนอดกลั่นมาโดยตลอด สุดท้ายนี้อยากจะบอกกับสามีว่า "พ่อผิดคำพูดที่พ่อบอกว่า พ่อไม่อยากจะตายในเครื่องแบบ" และเมื่อเกษียณไปแล้วอยากจะไปนั่งร้านน้ำชา นินทาเพื่อน อยากจะอยู่ด้วยกันสักครั้งแบบครอบครัวที่มีทั้งพ่อแม่ลูกและหลาน ๆ ในปีสุดท้าย แต่ชีวิตก็กลับมาเป็นอย่างนี้ไปได้ ก็เพราะทางผู้บังคับบัญชาไม่ให้ย้าย
ท่านจากไปอย่างวีรบุรุษตลอดอายุการทำงานในพื้นที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกว่า 40 ปี ได้พิสูจน์แล้วว่าท่านเป็นผู้ทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างหนัก และเหนื่อยล้ากับหน้าที่การงาน จนขอย้ายไป จ.ตรัง บ้านเกิดกับอายุราชการเพียงไม่ถึงปี เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่มอบให้กับครอบครัว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง จนต้องเข้าร้องเรียนกับนายกรัฐมนตรี จนสุดท้ายนายตำรวจมือปราบ ก็ได้กลับบ้านอย่างวีรบุรุษตลอดกาล....
SCOOP@NAEWNA.com |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น