วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

การจัด อันดับ [Ranking] มหาวิทยาลัย สำคัญไฉน ?

ธงชัย สันติวงษ์
ธงชัย สันติวงษ์

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับ “สถาบันศศินทร์” แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้รับการรับรองจาก AACSB

หรือ The Association to Advance Collegiate Schools of Business หรืออดีตที่ได้เคยรู้จักกันในชื่อ The American Assembly of Collegiate Schools of Business อันเป็นสมาพันธ์ของคณะบริหารธุรกิจของสหรัฐ โดยได้ให้การรับรองแก่ “ศศินทร์” ตั้งแต่เมื่อปลายเดือนก.ย.ที่ผ่านมา [ข่าวหน้า 8 A The Nation, March 5, 2010]

“ศศินทร์” ตั้งขึ้นเป็นสถาบันระดับมหาวิทยาลัย โดยการร่วมมือกับ University Of Pennsylvania และ Northwestern University โดยสอนเป็นภาคภาษาอังกฤษและมีการบริหารอย่างเป็นอิสระ แยกส่วนจากคณะพาณิชยฯ บัญชี จุฬาฯ ซึ่งก็มีการสอน ป.ตรี โท เอก ต่างหาก

การได้รับการรับรองจาก AACSB ถือเป็นเกียรติอย่างสูงแก่สถาบันและประเทศด้วย เนื่องจากเป็นสถาบันลำดับที่ 4 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อจาก ม.เทคโนโลยีนันยาง กับ ม.แห่งชาติสิงคโปร์ และสถาบันการจัดการแห่งเอเชีย [Asian Institute of Management] ที่ AACSB อันเป็นสมาคมที่เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในการพิจารณาและให้การรับรองแก่สถาบันต่างๆ มาช้านานและมีประวัติเป็นที่เชื่อถือของบรรดาสถาบันการศึกษาด้านบริหารธุรกิจของสหรัฐ อันเป็น “ต้นตำรับ” ของการจัดการศึกษา MBA มานานแล้ว จากการติดตามในฐานะเป็นคนในวงการ และได้เคยเข้าร่วมประชุมกับ AACSB มาก่อนตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 เมื่อเป็นคณบดีคณะพาณิชย์ฯ ธรรมศาสตร์ ขอแสดงความเห็นเรื่องนี้ ดังนี้

ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก คณะที่จัดสอนบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในไทย ต่างสู้แข่งขันกันสร้างชื่อ ล้วนกำหนดเป้าหมายที่จะให้สถาบันของตนได้รับการรับรองโดยสถาบันจัดอันดับแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่เน้นที่จะให้ได้รับการรับรองจาก AACSB ต้นตำรับเจ้าเก่า เช่น สถาบันบัณฑิตฯ (นิด้า) คณะพาณิชย์ฯ จุฬา [CUS] รวมไปถึง ม.หอการค้า และ ม.ธรรมศาสตร์ [TBS] ด้วย

ทั้งนี้ มีข้อแตกต่างคือ บางสถาบันเช่น ธรรมศาสตร์ ที่ผ่านมาได้เปลี่ยนการมุ่งเน้นจะให้ได้การรับรองจากสถาบัน AQUIS ของอังกฤษก่อน โดย AACSB เป็นเป้าหมายรอง


ทำให้สงสัยกันว่า แล้วสถาบันไหน ที่น่าจะเป็นที่เชื่อถือมากกว่ากัน ?

เรื่องนี้ต้องขอกล่าวโดยย่อว่า "AACSB" คือ สถาบันเก่าแก่ที่เป็นที่รู้จักและเชื่อถือมานาน โดยถือเป็น “ต้นตำรับ” ก็ว่าได้ เพราะ สหรัฐเป็นประเทศแรกที่บุกเบิกการผลิต “นักบริหารมืออาชีพ” ตามแบบฉบับ MBA และมีจำนวนสมาชิกมากที่สุดเกือบจะทั้งประเทศและทั่วโลก ทั้งยังมีวิธีการทำงานและเกณฑ์การประเมินเพื่อรับรองที่ทำกันมานานแล้ว

อย่างไรก็ตาม การสอนบริหารธุรกิจของประเทศแถบยุโรปที่พัฒนามาจากแนวการสอนแบบพาณิชยศาสตร์หรือ Commerce ก็ได้มีการขยายตัวและเปลี่ยนเป็นการสอนแนวใหม่คือ บริหารธุรกิจมากขึ้นในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยภายหลังวิกฤติฟองสบู่ "ต้มยำกุ้ง" คนไทยจะนิยมส่งคนไปเรียนที่อังกฤษมากขึ้นเรื่อย ด้วยเพราะ ใช้เพียงเกณฑ์ภาษาในการรับเข้าเรียน กับสามารถจบหลักสูตรได้ในปีเดียว ทำให้ประหยัดเวลากับค่าใช้จ่ายได้มาก ต่างกับของสหรัฐ ที่ยืนยันต้องใช้เวลาเรียน 2 ปีเต็มเป็นส่วนใหญ่ กับต้องผ่านเกณฑ์การสอบ GMAT กับ พร้อมมีประสบการณ์ทำงาน 2 ปี ทั้งนี้ MBA ของอังกฤษจะควบแน่นและมักจะมีการจัดหลักสูตรน้อยวิชาแบบคล่องตัวเพื่อให้จบได้ในเวลา 1 ปี นั่นเอง

กล่าวอย่างเป็นกลาง ระบบอังกฤษ แม้จะพัฒนาและโตเร็ว แต่ความแน่นหนาและจริงจังนั้น ต้องยอมรับว่าของสหรัฐ แข็งแรงกว่าแน่นอน

นอกจากนี้ ในยุโรป จะมีสถาบันการศึกษาการจัดการชั้นสูงอีกแห่งหนึ่งของหลายประเทศร่วมกัน คือ สถาบัน INSEAD ซึ่งสอนการจัดการธุรกิจแบบลึกและเข้มข้น โดยระดมปรมาจารย์ชั้นนำทั่วยุโรปไปร่วมสอน ซึ่งเป็นการพัฒนานักบริหารคู่กับสถาบันอบรมทางวิชาชีพอื่นๆ เช่น Banker Institutes และ Management Centre Europe เป็นต้น

ที่น่าสนใจในไทย คือ ตั้งแต่ พ.ศ.2515 มาจนถึงวันนี้ การศึกษา MBA ได้เป็นที่นิยมกันมาต่อเนื่อง จึงมีการเปิดสอนมากเป็นดอกเห็ด โดยดำเนินการในรูปแบบต่างๆ มากแบบหลายมาตรฐาน โดยสอนเป็นภาคพิเศษกับเพื่อรายได้จนกระทบต่อคุณภาพ และเป็นการแย่งชิงการเติบโตของสาขาอื่นกับกระทบต่อผู้บริโภคที่ต้องลงทุนสูง แต่ไม่อาจมีข้อมูล/ดัชนีชี้วัดคุณภาพหลักสูตรให้เกิดความมั่นใจได้ ซึ่งการจัดอันดับจะมีเกณฑ์ประกอบให้ใช้ดูได้มากขึ้น

ปัญหานี้ยืนยันได้จากข่าว (เดลินิวส์ 16 มี.ค.53 หน้า 27) ประธาน กกอ. ที่โอด(ครวญ)ว่า "....การอุดมศึกษาเปิดกว้างทั้งรัฐและเอกชนมากมาย แต่ไม่สำเร็จในการกำกับคุณภาพ...จึงควรมีการปรับการกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ....." สะท้อนว่า การจัดอันดับเริ่มสำคัญและจำเป็น

ตัวกระตุ้นอันแรกคือ ก่อนหน้านี้ได้มีข่าวการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก ทำและเผยแพร่โดยสถาบันใหม่ Webometric ประจำปี 2553 ทำเอามหาวิทยาลัยเก่าแก่อย่างจุฬาฯและธรรมศาสตร์ ต้องหน้าม้านและอับอายไปตามกัน โดยเฉพาะ ม.ธรรมศาสตร์ หล่นไปรั้งท้ายอยู่ถึงที่ 700 ทำให้ผู้บริหารถูกวิจารณ์ทาง web อย่างรุนแรง

เรื่องนี้ต้องยอมรับว่ามีผลกระทบมาก แม้คุณภาพของวิธีจัดอันดับยังไม่ดีพอ แต่ด้วยเหตุที่โลกสื่อสารยุคนี้ไปไกลและกว้าง ทำให้คนรับรู้มากและก่อผลกระทบมาก ซึ่งอาจหมายถึงการต้องมีการโยงถึงการปรับเปลี่ยนการบริหารภายในของหลายแห่งด้วยไม่มากก็น้อย เพราะ การไม่ทำอะไรในโลกที่เปลี่ยนแปลงสูง ย่อมก่อผลกระทบทำให้ล่มสลายไปได้ไม่ยาก

ต่อมาในบทความผู้เขียนจาก สกว. กล่าวถึงเรื่องนี้ (กรุงเทพธุรกิจหน้า 9 วันที่ 8 มี.ค.53) ชี้ถึง “จุดแข็งและอ่อนของการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก โดยได้ชี้ถึงความพร้อมด้านต่างๆ กับหลักเกณฑ์ที่ใช้วัดมากพอสมควร จะทำให้เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายในการติดตามและปรับปรุงตัวเองด้วย ทั้งนี้เป้าหมายผู้เขียนได้เน้นว่า ควรเป็นการวัดความเป็นเลิศจาก “สาขาวิชา” จะได้ประโยชน์กว่ามาก ซึ่งผมเห็นด้วยและแน่นอนว่า MBA คือ สาขาวิชาที่ควรมีการจัดอันดับมากที่สุด ส่วนจะพัฒนาให้ได้รับการรับรองโดยต่างประเทศของซีกโลกไหนก็ตาม ต่างสำคัญ แต่การแข่งจัดอันดับในประเทศก็ควรเร่งรีบทำและนำร่องไปก่อน เพราะ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนที่จะเลือกได้ถูกต้อง โดยประชาชนจะเห็นภาพการแข่งขันด้านคุณภาพได้ด้วย

ผมเคยมีประสบการณ์โดยได้เคยเข้าประชุมร่วมกับ AACSB ซึ่งได้รับทราบหลักเกณฑ์การประเมินที่สำคัญต่างๆ มากมาย กับการมีนวัตกรรมด้านหลักสูตรอย่างมีขั้นตอน รวมถึงการมีปัจจัยลบกำกับมาด้วยตลอดทาง เช่น หากสถาบันใดมีโครงการมาก จนเป็นภาระหนักเกินกว่ากำลังผู้สอน หรือมีโครงการพิเศษนอกเวลามากหรือใหญ่เกินไป จะสะท้อนถึงคุณภาพที่ถดถอยต่ำลง ทั้งนี้ไม่รวมถึงคุณภาพของผู้สอนที่วุฒิไม่ตรงกับมีประสบการณ์ไม่เพียงพอ

และจากการดูงานกับการได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับผู้บริหารของสถาบันชั้นนำหลายแห่งเชื่อมโยงถึงปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า คำรำพึงของประธาน กกอ.นั้นสำคัญกับเป็นปัญหาจริงที่ควรต้องเร่งปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยเร็ว ทั้งนี้ข้อมูลประเมินจะให้ความกระจ่างกับช่วยแก้ข้อปัญหาที่ค้างคาใจ ที่คนไทยจะได้รู้ว่าที่ไหนดีและดังจริง โดยไม่ปล่อยให้อิทธิพลการโฆษณาชี้นำคุณภาพเกินกว่าที่มีอยู่จริง เพราะหลายกรณีเมื่อดูลึกๆ แล้ว ความเป็นจริงจะเป็นไปอย่าง “กลับตาลปัตร” ก็มี

ดังเช่นสถาบันบางแห่งผลิตคนไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยดังๆ เป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดี กับได้รางวัลโนเบลก็มี แต่ชื่อในเมืองไทยไม่ดังเท่ากับบางแห่งที่มีผู้จบจำนวนมากและเข้าทำงานกับบริษัทใหญ่ๆ ได้เงินเดือนสูงอันเป็นปัจจัยด้านการตลาดกับประชาสัมพันธ์แต่ไม่ใช่เกณฑ์ทางวิชาการ เป็นต้น ที่เขียนเรื่องนี้เพราะหวังให้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างคุณภาพการศึกษา จากคุณภาพโครงการ MBA ที่ยังเป็นที่นิยมเรียนสูง แล้วการแข่งขันเพื่อคุณภาพก็จะเริ่มต้นได้

เพื่อคำว่า “จ่ายครบ จบแน่” จะได้จางหายไป โดยประสิทธิภาพ “การจัดการธุรกิจ” ของไทยที่ดีเข้ามาแทนที่ได้


ไม่มีความคิดเห็น: