การจัด อันดับ [Ranking] มหาวิทยาลัย สำคัญไฉน ?
- ธงชัย สันติวงษ์
- คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "บริหารรัฐ จัดการธุรกิจ"
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับ “สถาบันศศินทร์” แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้รับการรับรองจาก AACSB
“ศศินทร์” ตั้งขึ้นเป็นสถาบันระดับมหาวิทยาลัย โดยการร่วมมือกับ University Of Pennsylvania และ Northwestern University โดยสอนเป็นภาคภาษาอังกฤษและมีการบริหารอย่างเป็นอิสระ แยกส่วนจากคณะพาณิชยฯ บัญชี จุฬาฯ ซึ่งก็มีการสอน ป.ตรี โท เอก ต่างหาก
การได้รับการรับรองจาก AACSB ถือเป็นเกียรติอย่างสูงแก่สถาบันและประเทศด้วย เนื่องจากเป็นสถาบันลำดับที่ 4 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อจาก ม.เทคโนโลยีนันยาง กับ ม.แห่งชาติสิงคโปร์ และสถาบันการจัดการแห่งเอเชีย [Asian Institute of Management] ที่ AACSB อันเป็นสมาคมที่เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในการพิจารณาและให้การรับรองแก่สถาบันต่างๆ มาช้านานและมีประวัติเป็นที่เชื่อถือของบรรดาสถาบันการศึกษาด้านบริหารธุรกิจของสหรัฐ อันเป็น “ต้นตำรับ” ของการจัดการศึกษา MBA มานานแล้ว จากการติดตามในฐานะเป็นคนในวงการ และได้เคยเข้าร่วมประชุมกับ AACSB มาก่อนตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 เมื่อเป็นคณบดีคณะพาณิชย์ฯ ธรรมศาสตร์ ขอแสดงความเห็นเรื่องนี้ ดังนี้
ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก คณะที่จัดสอนบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในไทย ต่างสู้แข่งขันกันสร้างชื่อ ล้วนกำหนดเป้าหมายที่จะให้สถาบันของตนได้รับการรับรองโดยสถาบันจัดอันดับแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่เน้นที่จะให้ได้รับการรับรองจาก AACSB ต้นตำรับเจ้าเก่า เช่น สถาบันบัณฑิตฯ (นิด้า) คณะพาณิชย์ฯ จุฬา [CUS] รวมไปถึง ม.หอการค้า และ ม.ธรรมศาสตร์ [TBS] ด้วย
ทั้งนี้ มีข้อแตกต่างคือ บางสถาบันเช่น ธรรมศาสตร์ ที่ผ่านมาได้เปลี่ยนการมุ่งเน้นจะให้ได้การรับรองจากสถาบัน AQUIS ของอังกฤษก่อน โดย AACSB เป็นเป้าหมายรอง
ทำให้สงสัยกันว่า แล้วสถาบันไหน ที่น่าจะเป็นที่เชื่อถือมากกว่ากัน ?
เรื่องนี้ต้องขอกล่าวโดยย่อว่า "AACSB" คือ สถาบันเก่าแก่ที่เป็นที่รู้จักและเชื่อถือมานาน โดยถือเป็น “ต้นตำรับ” ก็ว่าได้ เพราะ สหรัฐเป็นประเทศแรกที่บุกเบิกการผลิต “นักบริหารมืออาชีพ” ตามแบบฉบับ MBA และมีจำนวนสมาชิกมากที่สุดเกือบจะทั้งประเทศและทั่วโลก ทั้งยังมีวิธีการทำงานและเกณฑ์การประเมินเพื่อรับรองที่ทำกันมานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม การสอนบริหารธุรกิจของประเทศแถบยุโรปที่พัฒนามาจากแนวการสอนแบบพาณิชยศาสตร์หรือ Commerce ก็ได้มีการขยายตัวและเปลี่ยนเป็นการสอนแนวใหม่คือ บริหารธุรกิจมากขึ้นในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยภายหลังวิกฤติฟองสบู่ "ต้มยำกุ้ง" คนไทยจะนิยมส่งคนไปเรียนที่อังกฤษมากขึ้นเรื่อย ด้วยเพราะ ใช้เพียงเกณฑ์ภาษาในการรับเข้าเรียน กับสามารถจบหลักสูตรได้ในปีเดียว ทำให้ประหยัดเวลากับค่าใช้จ่ายได้มาก ต่างกับของสหรัฐ ที่ยืนยันต้องใช้เวลาเรียน 2 ปีเต็มเป็นส่วนใหญ่ กับต้องผ่านเกณฑ์การสอบ GMAT กับ พร้อมมีประสบการณ์ทำงาน 2 ปี ทั้งนี้ MBA ของอังกฤษจะควบแน่นและมักจะมีการจัดหลักสูตรน้อยวิชาแบบคล่องตัวเพื่อให้จบได้ในเวลา 1 ปี นั่นเอง
กล่าวอย่างเป็นกลาง ระบบอังกฤษ แม้จะพัฒนาและโตเร็ว แต่ความแน่นหนาและจริงจังนั้น ต้องยอมรับว่าของสหรัฐ แข็งแรงกว่าแน่นอน
นอกจากนี้ ในยุโรป จะมีสถาบันการศึกษาการจัดการชั้นสูงอีกแห่งหนึ่งของหลายประเทศร่วมกัน คือ สถาบัน INSEAD ซึ่งสอนการจัดการธุรกิจแบบลึกและเข้มข้น โดยระดมปรมาจารย์ชั้นนำทั่วยุโรปไปร่วมสอน ซึ่งเป็นการพัฒนานักบริหารคู่กับสถาบันอบรมทางวิชาชีพอื่นๆ เช่น Banker Institutes และ Management Centre Europe เป็นต้น
ที่น่าสนใจในไทย คือ ตั้งแต่ พ.ศ.2515 มาจนถึงวันนี้ การศึกษา MBA ได้เป็นที่นิยมกันมาต่อเนื่อง จึงมีการเปิดสอนมากเป็นดอกเห็ด โดยดำเนินการในรูปแบบต่างๆ มากแบบหลายมาตรฐาน โดยสอนเป็นภาคพิเศษกับเพื่อรายได้จนกระทบต่อคุณภาพ และเป็นการแย่งชิงการเติบโตของสาขาอื่นกับกระทบต่อผู้บริโภคที่ต้องลงทุนสูง แต่ไม่อาจมีข้อมูล/ดัชนีชี้วัดคุณภาพหลักสูตรให้เกิดความมั่นใจได้ ซึ่งการจัดอันดับจะมีเกณฑ์ประกอบให้ใช้ดูได้มากขึ้น
ปัญหานี้ยืนยันได้จากข่าว (เดลินิวส์ 16 มี.ค.53 หน้า 27) ประธาน กกอ. ที่โอด(ครวญ)ว่า "....การอุดมศึกษาเปิดกว้างทั้งรัฐและเอกชนมากมาย แต่ไม่สำเร็จในการกำกับคุณภาพ...จึงควรมีการปรับการกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ....." สะท้อนว่า การจัดอันดับเริ่มสำคัญและจำเป็น
ตัวกระตุ้นอันแรกคือ ก่อนหน้านี้ได้มีข่าวการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก ทำและเผยแพร่โดยสถาบันใหม่ Webometric ประจำปี 2553 ทำเอามหาวิทยาลัยเก่าแก่อย่างจุฬาฯและธรรมศาสตร์ ต้องหน้าม้านและอับอายไปตามกัน โดยเฉพาะ ม.ธรรมศาสตร์ หล่นไปรั้งท้ายอยู่ถึงที่ 700 ทำให้ผู้บริหารถูกวิจารณ์ทาง web อย่างรุนแรง
เรื่องนี้ต้องยอมรับว่ามีผลกระทบมาก แม้คุณภาพของวิธีจัดอันดับยังไม่ดีพอ แต่ด้วยเหตุที่โลกสื่อสารยุคนี้ไปไกลและกว้าง ทำให้คนรับรู้มากและก่อผลกระทบมาก ซึ่งอาจหมายถึงการต้องมีการโยงถึงการปรับเปลี่ยนการบริหารภายในของหลายแห่งด้วยไม่มากก็น้อย เพราะ การไม่ทำอะไรในโลกที่เปลี่ยนแปลงสูง ย่อมก่อผลกระทบทำให้ล่มสลายไปได้ไม่ยาก
ต่อมาในบทความผู้เขียนจาก สกว. กล่าวถึงเรื่องนี้ (กรุงเทพธุรกิจหน้า 9 วันที่ 8 มี.ค.53) ชี้ถึง “จุดแข็งและอ่อนของการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก โดยได้ชี้ถึงความพร้อมด้านต่างๆ กับหลักเกณฑ์ที่ใช้วัดมากพอสมควร จะทำให้เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายในการติดตามและปรับปรุงตัวเองด้วย ทั้งนี้เป้าหมายผู้เขียนได้เน้นว่า ควรเป็นการวัดความเป็นเลิศจาก “สาขาวิชา” จะได้ประโยชน์กว่ามาก ซึ่งผมเห็นด้วยและแน่นอนว่า MBA คือ สาขาวิชาที่ควรมีการจัดอันดับมากที่สุด ส่วนจะพัฒนาให้ได้รับการรับรองโดยต่างประเทศของซีกโลกไหนก็ตาม ต่างสำคัญ แต่การแข่งจัดอันดับในประเทศก็ควรเร่งรีบทำและนำร่องไปก่อน เพราะ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนที่จะเลือกได้ถูกต้อง โดยประชาชนจะเห็นภาพการแข่งขันด้านคุณภาพได้ด้วย
ผมเคยมีประสบการณ์โดยได้เคยเข้าประชุมร่วมกับ AACSB ซึ่งได้รับทราบหลักเกณฑ์การประเมินที่สำคัญต่างๆ มากมาย กับการมีนวัตกรรมด้านหลักสูตรอย่างมีขั้นตอน รวมถึงการมีปัจจัยลบกำกับมาด้วยตลอดทาง เช่น หากสถาบันใดมีโครงการมาก จนเป็นภาระหนักเกินกว่ากำลังผู้สอน หรือมีโครงการพิเศษนอกเวลามากหรือใหญ่เกินไป จะสะท้อนถึงคุณภาพที่ถดถอยต่ำลง ทั้งนี้ไม่รวมถึงคุณภาพของผู้สอนที่วุฒิไม่ตรงกับมีประสบการณ์ไม่เพียงพอ
และจากการดูงานกับการได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับผู้บริหารของสถาบันชั้นนำหลายแห่งเชื่อมโยงถึงปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า คำรำพึงของประธาน กกอ.นั้นสำคัญกับเป็นปัญหาจริงที่ควรต้องเร่งปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยเร็ว ทั้งนี้ข้อมูลประเมินจะให้ความกระจ่างกับช่วยแก้ข้อปัญหาที่ค้างคาใจ ที่คนไทยจะได้รู้ว่าที่ไหนดีและดังจริง โดยไม่ปล่อยให้อิทธิพลการโฆษณาชี้นำคุณภาพเกินกว่าที่มีอยู่จริง เพราะหลายกรณีเมื่อดูลึกๆ แล้ว ความเป็นจริงจะเป็นไปอย่าง “กลับตาลปัตร” ก็มี
ดังเช่นสถาบันบางแห่งผลิตคนไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยดังๆ เป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดี กับได้รางวัลโนเบลก็มี แต่ชื่อในเมืองไทยไม่ดังเท่ากับบางแห่งที่มีผู้จบจำนวนมากและเข้าทำงานกับบริษัทใหญ่ๆ ได้เงินเดือนสูงอันเป็นปัจจัยด้านการตลาดกับประชาสัมพันธ์แต่ไม่ใช่เกณฑ์ทางวิชาการ เป็นต้น ที่เขียนเรื่องนี้เพราะหวังให้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างคุณภาพการศึกษา จากคุณภาพโครงการ MBA ที่ยังเป็นที่นิยมเรียนสูง แล้วการแข่งขันเพื่อคุณภาพก็จะเริ่มต้นได้
เพื่อคำว่า “จ่ายครบ จบแน่” จะได้จางหายไป โดยประสิทธิภาพ “การจัดการธุรกิจ” ของไทยที่ดีเข้ามาแทนที่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น