วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

นาคปรก : 'พระในหนัง' ไม่ขลังเท่า 'พระในข่าว' ?

เปรียบเทียบ "พระในหนัง" ที่ถูกเครือข่ายชาวพุทธฯ ต่อต้าน กับ "พระในข่าว" แถวผ่านฟ้า มีคนตั้งคำถามว่า ทำไมฝ่ายหลังไม่โดนไม้เรียวแบบนี้บ้าง

"ผมมองว่าหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยความรุนแรง มีการวางแผนงานที่เลวร้าย ถ้าถามว่าจรรโลงศาสนามั้ยผมว่าไม่จรรโลง ไม่จรรโลงอย่างเดียวไม่พอ ผมมองว่าการเอาโจรสองคนมาปล้นผ้าเหลืองเนี่ย มันไม่ถูกต้อง" คณะกบว.ท่านหนึ่ง


"โยมต้องกำหนดอายุนะ หนังเรื่องนี้ เพราะว่าคนดูแล้วคนอาจสับสน คือหนึ่งคือว่าพระจริงหรือพระปลอม" พระรูปหนึ่งในวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร


"มีคนเคยถามผมว่า ถ้าหนังเรื่องนี้ไม่ได้ฉาย จะเสียใจมั้ย ผมบอกไม่เสียใจ แต่ถ้าหนังเรื่องนี้ผมไม่ได้เล่น นั่นแหละผมจะเสียใจ" สมชาย เข็มกลัด


"วิธีการเล่าเรื่องมันแรงและชัดเจน... หวั่นเหมือนกันว่าพอคนไปดูแล้วผมอาจอยู่เมืองไทยไม่ได้เลย" เร แม็คโดแนลด์


"ในเรื่องนี้ตัวละครแต่ละตัวจะว่าไปมันก็มีอยู่จริงในสังคม..." ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์


หลายเสียง หลากนิยาม และคำถามอีกนับไม่ถ้วน สำหรับภาพยนตร์เรื่อง นาคปรก ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ขณะนี้ ที่โดนเครือข่ายองค์กรชาวพุทธและสมาคมพุทธศาสน์สัมพันธ์ออกมาเรียกร้องให้ยุติการฉาย ด้วยข้อหา "ทำลายศาสนา"

หลายคนที่ยังไม่ตีตั๋วเข้าไปดู (เพราะเพิ่งเข้าโรงเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา) ก็ตั้งคำถามกลับว่า "แล้วพระย่ามแดงตอนนี้ ไม่แรงมากกว่าหรือ"

กระทั่งถามว่า เป็นวิธีปฏิบัติแบบ "สองมาตรฐาน" ใช่หรือไม่?

เสียงจากผู้กำกับ

"ภาพโฆษณาออกซึ่งมันดูแรง เรายอมรับ แต่มันเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของหนัง ยืนยันว่าควรจะไปดูหนังฉบับเต็มครับ" ประโยคดังกล่าวดูจะเป็นคำยืนยันอันชัดเจนของ ใหม่ - ภวัต พนังคศิริ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง "นาคปรก" ที่กลายเป็นหัวข้อ ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาว์น ถึงเนื้อหา และความเหมาะสมของตัวหนัง


จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์แง่มุมต่างๆ จากผู้คนทั้งในวงศาสนาเอง และในวงสังคมที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาก็ยังยืนยันว่า อยากให้ผ่านตาตั้งแต่ต้นเรื่องจนหนังจบเสียก่อน แล้วค่อยมา "ว่ากัน"

"จริงๆ มันก็เป็นสิทธิของท่านที่จะประท้วงหรือแสดงความเห็นกับหนังได้ ผมไม่ได้ว่าอะไร แต่ตอนนี้ผมยังไม่ได้รับหนังสือร้องเรียนอะไรมาชัดเจนนะครับ ผมยินดีรับนะ และพร้อมจะอธิบาย แต่อยากให้คนร้องเรียนได้ชมภาพยนตร์ฉบับเต็มก่อน เพราะเท่าที่ทราบท่านที่มาร้องเรียน ไม่พอใจกับภาพที่เรายิงสปอตโฆษณา บอกว่ามันแรงไป" เขาให้สัมภาษณ์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

สิ่งที่ทำให้เขายืนหยัดกับความเชื่อในการนำเสนอ "พระ" ผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (จนระบบจัดเรตติ้งเข้ามาแทนที่ระบบกองเซ็นเซอร์เดิม ก่อนจะได้เรต น+18 หมายถึงอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ควรได้ดู) ก็คือ ความต้องการจะสะท้อนสังคมอันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ศาสนา "เสื่อม" ลงทุกวันนั่นเอง

"ผมทำหนังเรื่องนี้ จากแรงบันดาลใจสังคมไทยนี่แหละ ทุกวันนี้เหมือนเราพูดกันว่า พระ-วัด-ศาสนา เสื่อมลง ผมก็เลยอยากพูดประเด็นนี้ และอย่างน้อยที่สุดคนที่ได้ดู ก็จะได้เห็นหนังเป็น “กระจก” ส่องสังคม ผมไม่ได้ชี้ชัดนะว่าตัวละครดีหรือเลว แต่หนังพูดถึงมนุษย์ การจะเป็นคนดีคนเลวมันอยู่ที่คุณเลือกเอง ความดีความเลวคนดูตัดสินได้เอง และหนังมันเป็นการสร้างเพื่อความบันเทิง แต่ในความบันเทิงนั้นก็อยากให้มันมีสาระอยู่ด้วย

"ผมยอมรับว่าอยากพูดประเด็น พระ วัด ศาสนา และเลือกที่จะพูดแบบแรงๆ เพื่อดึงความสนใจ เพราะผมคิดว่าพอคนสนใจมัน เขาจะทำความเข้าใจกับมันและจดจำมันได้ ก็เหมือนพ่อแม่บางทีสอนลูกก็ต้องมีตีบ้างใช่ไหมครับ" ภวัตบอก (กลุ่มเป้าหมายของภวัตที่เขาเคยสัมภาษณ์ว่าอยากให้ดูและได้สาระจากหนังเรื่องนี้ คือ บรรดาจิ๊กโก๋ เด็กแว้น เด็กสก๊อย เพื่อจะได้เห็นจุดสะเทือนอารมณ์และหวนกลับ กลับไปหาพ่อแม่)

พระแดงในข่าว

สื่อมวลชนรุ่นลายครามที่หันมาสนใจและศึกษาพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ออกตัวว่ายังไม่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ก็มีบางประเด็นอยากจะแลกเปลี่ยนระหว่าง "พระในข่าว" กับ "พระในหนัง"


เขาเริ่มต้นด้วย คำอธิบายว่าทำไม พระในหนังถึงแตะกันไม่ค่อยได้


"เป็นความเชื่อของสังคม ที่สืบทอดกันมาเป็นวัฒนธรรม ให้ความเคารพศรัทธาต่อศาสนาเป็นหลัก พระภิกษุซึ่งเป็นผู้รับใช้ศาสนาโดยตรง ก็พลอยได้รับความเคารพนับถือไปด้วย"

ส่วนพระในข่าว (การเมือง) ตอนนี้ ที่ปรากฎตัวในในสื่ออยู่เนืองๆ ฉไนจึงไม่โดนอะไรหรือใครมากระทบ


ชัชรินทร์เลือกที่จะไม่ตอบตรงๆ หากชวนให้มองที่ "ต้นเหตุ" มากกว่า

"บางคนมองบทบาทพระว่า ถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี ควรไม่ควร แต่การจะวิจารณ์ได้ดีที่สุด เราเองก็ควรเข้าใจศาสนาด้วย ไม่ใช่มองเฉพาะตัวพระ ถ้าเราเข้าใจศาสนาให้ชัดเจนเท่าไหร่ ก็สามารถตัดสินถูกผิดได้ชัดเจนมากเท่านั้น"

ไม่เฉพาะแต่พุทธศาสนิกชนเท่านั้น หากรวมถึงทุกองค์ประกอบในพุทธศาสนา โดยเฉพาะ พระภิกษุสงฆ์ ถ้าขาดความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนแล้ว การนำมาประพฤติปฏิบัติก็จะมีปัญหา รวมถึงการปฏิเสธหรือไม่ยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนวงนอก


"คนวิจารณ์และถูกวิจารณ์ต่างก็ไม่เข้าใจ เลยเกิดเรื่องเกิดราวอย่างที่แล้วมา" เพราะความไม่เข้าใจของทั้งสองฝ่าย นำไปสู่การสื่อสาร แสดงออกที่มีทั้งจุดโหว่ จุดด้อย และอิงกับอารมณ์ความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตี จนเกิดกรณี ตีกันไปตีกันมาอยู่บ่อยๆ

"แต่ถ้าเราศึกษาศาสนาให้ลึกซึ้ง เข้าใจ การวิจารณ์ก็จะมีน้ำหนัก ฝ่ายที่ออกมาปกป้องเองก็ควรศึกษา ไม่ใช่ออกมาเรียกร้องเพราะความ(เป็นห่วงจน)เคยชิน"

สำหรับกรณี "นาคปรก" กับ "พระ นปช." สื่อมวลชนรุ่นเก๋ามองว่า พระในหนัง ก็สู้ในแบบของหนังไป แต่ก็คงสู้กับสังคมได้ไม่มากเท่าไหร่

แต่กับฝ่ายหลัง ที่มีตัวตนจริงในสังคม แถมสะพายย่ามแดงอีกต่างหาก ชัชรินทร์บอกว่า "มีฤทธิ์หน่อย ว่าอะไรก็สวนกลับได้ เขาถึงเลือกที่ไปโจมตีพระในหนังดีกว่า"

ถ้าเอาแก่นของพุทธรรมมาเปรียบเทียบ เขาเห็นว่าคนในผ้าเหลือง "เสื่อม" มานานแล้ว ซึ่งไม่ต่างอะไรกับส่วนอื่นๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นทหาร ข้าราชการ หรือ พุทธศาสนิกชน

"เสื่อมจริงๆ น่าหนักใจ เพราะทำให้ความเชื่อของคนที่เคยมีต่อศาสนา กระทบกระเทือนไปด้วย เพราะความเชื่อแบบนี้ มีส่วนทำให้คนเป็นคนดี จิตใจดี โดยอาจจะไม่ต้องเข้าใจพุทธศาสนาอย่างแท้จริงก็ได้"

ถามว่า พระที่ออกมาเคลื่อนไหวในตอนนี้ ผิดต่อแก่นแท้ศาสนาหรือไม่ ชัชรินทร์บอกเพียงว่า "ลำพังสร้างโบสถ์ วัดวาให้ใหญ่โต หรูหรา หรือ แค่นั่งเสพสุขในกุฏิ ก็ผิดแล้ว"

ส่วนพระในหนัง ที่ตีแผ่ด้านมืดของพระสงฆ์ ผิดหรือไม่

"มันเป็นสิทธิเสรีภาพ พระท่านก็คงเจ็บปวดนิดหน่อย นานๆ ไปก็คงชิน" ส่วนมือปราบศักดิ์สิทธิ์อย่าองค์กรด้านพุทธศาสนาต่างๆ ที่ออกมาเป็นห่วงเป็นใยในตอนนี้...

"เขาก็ต้องเชยตามแบบฉบับของเขาอยู่แล้ว(หัวเราะ)"

พระสมมติในหนัง

มุมมองของ นักวิจารณ์ภาพยนตร์อย่าง ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ ที่มีต่อ "พระในหนัง" นั้นถือว่า บริบทดังกล่าวปรากฏอยู่กับภาพยนตร์ไทยในมิติที่ค่อนข้างหลากหลายพอสมควร ทั้งในฐานะตัวแทนของศรัทธาด้านความดี และความเป็นส่วนหนึ่งของสังคม อย่างหนังเรื่องหลวงพี่เท่ง หรือหลวงตาซึ่งนำเสนอในฐานะตัวแทนของความดี แต่ภาพยนตร์ที่นำเสนอในเชิงวิพากษ์กลับพบเห็นได้ค่อนข้างน้อยในสังคมปัจจุบัน


"จริงๆ หนังไทยมีการนำเสนอภาพของพระในหลายๆ ด้าน ทั้งการนำเสนอภาพพระแง่บวกที่เราเห็นในหลวงพี่เท่ง หรือภาพที่แสดงถึงสถาบันทางสังคมแบบหนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับชาวบ้าน ซึ่งถือเป็นความน่าสนใจอย่างหนึ่งของหนังไทยอย่างโกยเถอะโยม แต่ก็ถูกประท้วงเยอะช่วงก่อนเข้าฉาย เพราะบางความคิดก็ไปมองว่านี่เป็นการทำลายภาพลักษณ์ของพระทั้งที่จริงๆ มันเป็นส่วนหนึ่งของสังคมชาวบ้าน ขณะที่หนังในเชิงวิพากษ์จะมีน้อย เพราะสังคมไทยไม่ค่อยเปิดกว้างกับการวิพากษ์ โดยเฉพาะวิพากษ์ลงไปในด้านมืด อย่างนาคปรกที่กำลังเข้าฉายอยู่"

บางครั้งการอยู่คนละฝั่งระหว่าง "คนสร้าง" และ "คนดู" ก็ทำให้เกิดคำถามว่า อันที่จริงแล้ว สังคมไทยรับได้ขณะไหนกับบทบาทของผู้สืบทอดพระศาสนาที่ปรากฏบนแผ่นฟิล์ม ตัวธิดามองว่า นี่ถือเป็นอีก "จุดอ่อน" หนึ่งที่ทำให้ปัญหาตามมาไม่รู้จบสำหรับเส้นแบ่งของความพอดีที่ถูกปลูกฝังมานานในสังคม

"คนทั่วไป ถ้าเรามองกรณีประท้วง ในแง่หนึ่งมันก็ดูเกินเลย ที่มองเป็นจุดอ่อนไหวเปราะบางไปหมด แตะต้องไม่ได้เลย แต่อีกด้านเราก็พูดได้ว่ามันเป็นความรู้สึกของคนในสังคมโดยรวม ซึ่งโดยส่วนตัวเราไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะความรู้สึกนี้มันเกิดมาจากการถูกสร้าง โดยสื่อ หรือสถาบันสงฆ์ หรือองค์กรที่ประกาศว่าตัวเองมีหน้าที่ปกป้องศาสนาพุทธ ที่ยึดติดกับภาพพระสงฆ์ว่าต้องเป็นผ้าขาวสะอาด"


เธอยกตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง "แสงศตวรรษ" ที่เคยเป็นประเด็นร้อนขึ้นโต๊ะกับฉากพระเล่นกีตาร์ และพระเล่นเครื่องร่อน ซึ่งในฐานะคนทำงานวิจารณ์ ธิดาอธิบายว่า สามารถมองอีกมุมหนึ่งได้ เนื่องจากในสังคม พระสงฆ์ถือว่ามีส่วนใกล้ชิดกับสังคม และกลมกลืนกับวิถีชีวิตของผู้คนอยู่แล้ว

"คนในสังคมจะเปราะบางกับเรื่องแบบนี้ เพราะถูกสร้างความคิดที่ตายตัว เราไม่ได้มีการมองว่าบริบทรอบๆ การกระทำของเขามีเหตุผลอื่น หรืออย่างกรณีนาคปรก คนยังไม่ทันดูหนังก็วิจารณ์กันแล้ว โปสเตอร์มันไม่เหมาะสม แต่ไม่ได้ไปดูว่าเนื้อหาของหนังจริงๆ ว่าพูดเชิงวิพากษ์พระที่เป็นพระปลอม หมายถึงพระที่เข้ามาบวชโดยไม่ได้คิดถึงหลักธรรรม ซึ่งความจริงแล้วหนังก็ไม่ได้มีท่าทีส่งเสริมด้วยซ้ำ"

สิ่งที่เป็นทางออกสำหรับเรื่องนี้ เธอคิดว่า การเปิดกว้างถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ของการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งในต่างประเทศภาพเหล่านี้จะมีออกมาให้เห็นมากกว่า

"หนังต่างประเทศค่อนข้างมีพื้นที่ในการนำเสนอเรื่องแบบนี้ แต่เมื่อเขาเข้าฉายก็จะถูกต่อต้านเช่นเดียวกัน แต่ก็มีเวทีให้ได้ฉายมากขึ้น ซึ่งถ้าสังคมเปิดกว้าง เราก็จะสามารถเห็นหนังแบบนี้เยอะ ต่างประเทศเขาจะมีหนังในเชิงวิพากษ์ แล้วก็ตั้งคำถามว่าคนที่ก้าวเข้าสู่สถานะของความเป็นสงฆ์ หรือแม้กระทั่งนักบวชในศาสนาอื่น ก็ตาม จะต้องเผชิญกับการต่อสู้ของอะไรบ้าง มันก็จะเกิดการตั้งคำถามต่อท้ายในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่สถาบันที่จะแตะต้องไม่ได้ สิ่งร่วมกันจึงอยู่ตรงที่การเปิดพื้นที่วิพากษ์วิจารณ์ บนฐานความคิดที่เข้าใจร่วมกัน แต่ตอนนี้เรายังไปไม่ถึงตรงนั้น เพราะต่างคนต่างถกเถียงบนอคติของตัวเองอยู่" ธิดา ทิ้งท้าย

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ "นาคปรก" กำลังโกยรายได้ในโรงอย่างงดงาม

...................................


ข้อมูลของการจัดเรตหนังในเมืองไทย

วันที่ 28 กรกฎาคม คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อมีมติเห็นชอบกฎกระทรวงประกอบ พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 ในส่วนการจัดเรตติ้งภาพยนตร์ 7 ประเภท กำหนดให้ภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ต้องเข้าสู่กระบวนการจัดเรตติ้งทั้งหมด โดยใช้สัญลักษณ์จัดเรตติ้งและติดหน้าโรงภาพยนตร์ ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมจัดทำไว้ 6 สัญลักษณ์


ประกอบด้วย

1. "ส ส่งเสริม" มีข้อความว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งเสริมการเรียนรู้และส่งเสริมให้มีการดู

2. "ท ทั่วไป" ข้อความว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสมกับคนดูทั่วไป

3. "น ๑๓+" ข้อความว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป

4. "น ๑๕+" ข้อความว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป

5. "น ๑๘+" ข้อความว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

6. "ฉ ๒๐+" ข้อความว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีดู

มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2552

ไม่มีความคิดเห็น: