วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

จิระพงศ์ เต็มเปี่ยม
ตำนานนางสงกรานต์

อีกไม่กี่วันแล้วครับ ก็จะถึงวันปีใหม่ไทย ผมได้รับการ์ดอวยพรปีใหม่แบบไทยๆ และมีใบแทรกเป็นตำนานนางสงกรานต์ จากคุณเอนก จงเสถียร บิ๊กบอสบริษัท MMP Corporation ผู้ผลิตฟิล์มยืดถนอมอาหาร เห็นใกล้เข้าสู่บรรยากาศสงกรานต์แล้ว จึงนำเสนอให้ท่านได้อ่านกัน

ตามที่ปรากฏในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนว่า เศรษฐีคนหนึ่งไม่มีบุตร บ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุรา นักเลงสุรามีบุตรสองคน มีผิวเนื้อเหมือนทอง วันหนึ่งนักเลงสุรานั้น เข้า ไปกล่าวหยาบช้าต่อเศรษฐี เศรษฐีจึงถามว่า เหตุใดจึงมาหมิ่นประมาทต่อเราผู้มีสมบัติมาก นักเลงสุราจึงตอบว่า ถึงท่านมีสมบัติก็ไม่มีบุตร ตายแล้วสมบัติก็จะสูญเปล่า เรามีบุตรเห็นว่าประเสริฐกว่า ท่านเศรษฐีมีความละอายจึงบวงสรวง พระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานถึงสามปีก็มิได้บุตร อยู่มาถึงวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีจึงพาบริวารไปยังต้นไทร อันเป็นที่อยู่แห่งฝูงนกทั้งปวงริมฝั่งน้ำ จึงเอาข้าวสารล้างน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงขึ้นบูชาพระไทร ประโคมพิณพาทย์ตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร

พระไทรมีความกรุณาจึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ พระอินทร์จึงให้ธรรมบาลเทวบุตรลงมาปฏิสนธิ ในครรภ์ภรรยาเศรษฐี เมื่อคลอดแล้วจึงให้ตั้งชื่อ ธรรมบาลกุมาร ปลูกปราสาทเจ็ดชั้นให้อยู่ใต้ต้นไทรริมฝั่งน้ำนั้น กุมารเจริญขึ้นก็รู้ภาษานก แล้วเรียน ไตรเภท จบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ ได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่างๆ แก่มนุษย์ทั้งปวง ในขณะนั้นโลกทั้งหลายนับถือ ท้าวมหาพรหมและกบิลพรหม องค์กบิลพรหมเดิมว่า เป็นผู้แสดงมงคลแก่มนุษย์ทั้งปวง เมื่อทราบจึงลงมาถามปัญหาธรรมบาลกุมาร สามข้อ สัญญาไว้ว่า ถ้าแก้ปัญหาได้จะตัดศีรษะบูชา ถ้าแก้ไม่ได้ จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ปัญหานั้นว่า ข้อ ๑ เช้าราศีอยู่แห่งใด ข้อ ๒ เที่ยงราศีอยู่แห่งใด ข้อ ๓ ค่ำราศีอยู่แห่งใด ธรรมบาลกุมารขอผลัดเจ็ดวัน ครั้งล่วงไปได้หกวัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดไม่ได้ จึงนึกว่าพรุ่งนี้จะขอตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม

ไม่ต้องการจะหนีซุกซ่อน ยอมตายเสียดีกว่า จึงลงจากปราสาทไปนอนอยู่ใต้ต้นตาลสองต้น มีนกอินทรีสองผัวเมียทำรังอาศัยอยู่บนต้นตาลนั้น ครั้งเวลาค่ำนางนกอินทรีจึงถามสามีพรุ่งนี้จะได้อาหารแห่งใด สามีบอกว่าจะได้กินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย เพราะทายปัญหาไม่ออก นางนกถามว่า ปัญหานั้นคืออะไร สามีจึงบอกปัญหาว่า เช้าราศีอยู่แห่งใด เที่ยงราศีอยู่แห่งใด ค่ำราศีอยู่แห่งใด นางนกถามว่าแล้วจะแก้อย่างไร สามีบอกว่า เช้าราศีอยู่ที่หน้า มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างหน้า เวลาเที่ยงราศีอยู่อก มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก เวลาค่ำราศีอยู่เท้า มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้า ธรรมบาลกุมารได้ยินดังนั้นก็กลับไปปราสาท ครั้งรุ่งขึ้นท้าวกบิลพรหมมาถามปัญหา ธรรมบาลกุมารก็แก้ตามที่ได้ยินมา

ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดานางฟ้าทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นบาทบริจาริกา(นางบำเรอแทบเท้า) ของพระอินทร์ มาพร้อมกันจากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา แล้วบอกเราตัดศีรษะบูชาธรรมบาลกุมาร ศีรษะเราจะตั้งไว้บนแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้ทั่วโลก ถ้าจะทิ้งไว้ในอากาศ ฝนฟ้าก็จะแล้ง ถ้าทิ้งลงในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง จึงให้นางฟ้าทั้งเจ็ดนั้น เอาพานมารับศีรษะ แล้วก็ตัดศีรษะส่งให้นางทุงษะธิดาองค์โต นางจึงเอาพานมารับพระเศียรบิดาไว้ แล้วแห่ทำประทักษิณ รอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที แล้วก็เชิญประดิษฐานไว้ในมณฑป ถ้ำคันธุลีเขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ พระเวสสุกรรมก็นฤมิตรแล้วด้วยแก้วเจ็ดประการ ชื่อภควดีให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็นำเอาเถาฉมูนาดลงมาล้างในสระอโนดาตเจ็ดครั้งแล้วแจกกันสังเวยทุกๆ องค์

ครั้งครบถึงกำหนด 365 วัน โลกสมมุติว่าปีหนึ่งเป็นสงกรานต์ นางฟ้าเจ็ดองค์จึงผลัดเวรกัน แล้วแต่ว่าสงกรานต์ปีนั้นจะตรงกับวันอะไร ถ้าเป็นวันอาทิตย์ คือ นางทุงษะ วันจันทร์ คือ นางโคราคะ วันอังคาร คือ นางรากษส วันพุธ คือ นางมณฑา วันพฤหัสบดี คือ นางกิริณี วันศุกร์ คือ นางกิมิทา วันเสาร์ คือ นางมโหทร มาเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมออกแห่งประทักษิณเขาพระสุเมรุทุกปีแล้วกลับไปเทวโลก ดังปรากฏเป็นจารึก ไว้ที่วัดพระเชตุพนจนกาลปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น: