วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เคาะตัวตน "หนุ่ย-พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์" ไอทีแมนอารมณ์ดี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 พฤษภาคม 2553 17:04 น.
หนุ่ย-พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงไอที และเกม "หนุ่ย-พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์" ทายาทดร.สุจิต หิรัญพฤกษ์ (นักธุรกิจฟาร์มไข่มุกที่ภูเก็ต ผู้สำเร็จดอกเตอร์สาขารัฐศาสตร์คนแรกของประเทศไทย) ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทโชว์ไร้ขีดจำกัด นักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับงานไอที ทั้งการเป็นออแกไนเซอร์ แบบการจัดอีเวนต์ และการเป็นโปรโมเตอร์จัดนิทรรศการ และรายการทีวี รวมเวลาได้ 10 ปีแล้ว โดยยอดบิลลิ่งที่เคยได้ในปีแรกๆ ประมาณ 10 กว่าล้านบาท และในปีที่ผ่านมา (2552) เขาทำได้ถึง 73 ล้านบาท

ความสำเร็จที่ได้มานี้ เขาต้องผ่านชีวิตมาหลายด่าน และคงจะปฏิเสธพื้นฐานการสอนที่ดีของครอบครัวไปไม่ได้ ทีมงาน Life and Family จึงขอเปิดชีวิตย้อนวันวานของผู้ชายคนนี้ ผ่านตัวอักษรให้ผู้อ่าน Manager online ได้ทราบถึงชีวิต และแง่คิดในอีกแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจกันครับ

เคาะตัวตนผู้ชายชื่อ "หนุ่ย"

"หนุ่ย" เด็กขี้เล่น อารมณ์ดี โตในครอบครัวฐานะค่อนข้างดี มีพี่น้อง 7 คน 5 คนเป็นลูกของคุณพ่อสุจิตกับคุณกันยา เทียนสว่าง (นางสาวสยามคนแรกของไทย) อีก 2 คนหลัง เป็นพี่น้องจริงๆ ของเขา ที่พ่อแต่งงานใหม่กับแม่หลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิต โดยหนุ่ยเป็นคนสุดท้อง เมื่อคุณพ่อจากไปด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวตอนอายุ 62 ปี ตอนนั้นเขามีอายุ 3 ขวบครึ่ง ชีวิตหลังจากไม่มีพ่อ เขาต้องอยู่กับแม่ที่เลี้ยงดูลูกๆ เพียงลำพัง ซึ่งโชคดีที่มีพี่ชายเป็นตัวอย่าง และต้นแบบความเป็นพ่อ คอยให้มุมมองในแบบที่ลูกผู้ชายควรจะเป็น

สำหรับคุณแม่ที่แสนดี หนุ่ยเล่าให้ฟังว่า แม่ได้รับมรดกเป็นร้านตัดเสื้อ เปิดร้านอยู่ในซอยเล็กๆ ห่างจากปากซอยประมาณ 2 กิโลเมตร แม่ยอมเปิดร้านอยู่ในบ้าน และยอมมีลูกค้าน้อย เพื่อจะได้อยู่บ้านกับลูก ดูแลลูก แม่เคยบอกว่า "ไม่อยากเปิดร้านไกล ไม่อย่างนั้นจะดูแลลูกได้อย่างไร" นี่คือสิ่งที่หนุ่ยจำภาพความห่วงใยของแม่ที่มีกับเขาและพี่ๆ ไม่รู้ลืม

"ครอบครัวเราน่ารัก มาก พวกพี่ๆ ก็รักผมมาก ซึ่งพ่อบอกไว้ก่อนเสียว่า พี่น้องของเรามี 7 คน มีอะไรให้ช่วยเหลือกัน ผมโชคดี มีแม่ที่คอยดูแลทุกอย่างในบ้าน แม่ทำกับข้าว และตัดเสื้อเก่งมาก ผมเป็นเด็กที่ได้กินข้าวเช้าทุกวัน เพราะแม่จะทำให้ลูกๆ กินก่อนไปโรงเรียน ส่วนงานตัดเสื้อ ลูกๆ พยายามเชียร์ให้แม่เปิดร้าน แต่แม่ปฏิเสธ เพราะไม่อยากลงทุนเกินตัว แม่กลัวเป็นหนี้มาก เพราะฉะนั้น จึงเป็นวิธีคิดให้ลูกๆ รู้จักพอเพียง และใช้เงินอย่างระวังเหมือนที่แม่ทำเป็นตัวอย่าง" หนุ่ยเล่าถึงภาพความรู้สึกดีๆ ในครอบครัวหิรัญพฤกษ์

อย่างไรก็ดี เมื่อเจาะไปที่ตัวเด็กชายหนุ่ย เขาเป็นเด็กชอบการประกวดแข่งขัน งานแรกแม่เป็นผู้สนับสนุนให้หนุ่ยเข้าประกวดวาดภาพที่ท้องฟ้าจำลอง ตอนสมัยเรียนชั้นป.3 จากนั้น ได้เข้าประกวด และได้รางวัลในทุกครั้ง โดยในทุกๆ กิจกรรม เขามีแม่อยู่ให้กำลังใจ และคอบปรบมือในความสำเร็จของลูกอยู่ตลอด

"บ้านผมจะไม่มีแบบว่า ถือรางวัลไปที่บ้าน แล้วบอกว่า แม่ชนะมา แล้วหันมางง แกทำอะไรของแกอะ ซึ่งบ้านเราไม่มี ซึ่งแม่จะอยู่ทุกกิจกรรม และอยู่เป็นกำลังใจให้ลูกทุกครั้ง ผมจึงติดแม่ เพราะเวลามีปัญหาจะปรึกษาแม่ตลอด นอกจากนี้ ก็มีพี่ชายที่คอยช่วยเราด้วย ซึ่งแตกต่างกันไปตามกรณี ถ้าปัญหาเรื่องแมนๆ หน่อยจะคุยกับพี่ชาย แต่ถ้าเป็นเรื่องจุกจิกกวนใจ ก็จะคุยกับแม่" หนุ่ยเล่า

หนุ่ยกับคุณแม่
เด็กติดเกมสู่ "เด็กเงินล้าน"

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกยุคสมัย เกม กับเด็กเป็นของคู่กัน สมัยหนุ่ยอยู่ ป.3 (อายุ 9 ขวบ) เขาเริ่มเอาเกมเข้าบ้าน เป็นเกมแฟมิคอม ในชุดของ ซูเปอร์มาริโอ เนื่องจากเป็นข้อตกลงกับคุณแม่ ที่เมื่อหนุ่ยสอบได้คะแนนดี แม่จะซื้อเกมให้ แต่ทั้งนี้ การมีเกมในบ้าน คุณแม่จะมีกฎทอง โดยกำหนดว่า เล่นได้เฉพาะเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น วันธรรมดาเป็นวันเรียน จึงงดเล่นเกม ดังนั้นช่วงวันหยุดเขาจะอยู่กับเกม ถึงขนาดเวลากินข้าว ต้องเอาข้าวมากินหน้าจอเกมด้วย ซึ่งบางครั้งคุณแม่ไม่ยอม พอถึงเวลากินข้าวต้องไปกินที่โต๊ะอาหาร

กระทั่งวันหนึ่ง พี่ชายทนกับพฤติกรรมติดเกมของเขาไม่ไหว จึงส่งจักรยานบีเอ็มเอ็กซ์คันสีขาวมาให้ เพื่อหันเหความสนใจออกจากเกม โดยเขียนข้อความแปะมาบอกด้วยว่า "พี่อยากให้น้องใช้มันปั่นไปดูโลกภายนอกจอบ้าง" คำพูดของพี่ในวันนั้น สะกิดใจหนุ่ยไม่น้อย เขาปลีกตัวออกจากโลกของเกม และใช้จักรยานของพี่ปั่นไปทั่วหมูบ้าน เริ่มจากคลองตันไปถึงจนถนนสุขุมวิท ลดเวลาหน้าจอเกมไปได้เปราะหนึ่ง

หลังจากถูกแม่ และพี่ชายค่อยๆ ดึงออกจากโลกของเกม ช่วงอายุ 12 ปี ด.ช.หนุ่ยเริ่มทำงานหาเงินแบ่งเบาภาระครอบครัว เริ่มจากทำงานโรงงานน้ำข้างบ้าน พออายุ 16 ปี เข้าทำงาน Part-time ที่ร้านพิซซ่าฮัท (แผนกแต่งหน้าพิซซ่า) ได้เงินชม.ละ 20 บาท นอกจากนี้ เขายังมีความสามารถด้านการเต้นสมัยงานโรงเรียนที่ศรีวิกรม์ ตอนนั้นมีรายการตัวต่อตัวจัดประกวดการแสดง เพื่อนจึงแนะนำให้ไปประกวดจนได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้เงิน 1 ล้านบาทในปี 2537 อีกทั้งยังได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดการแสดงสร้างสรรค์ "ครีเอทีฟ อวอร์ด" FM 96.5 ในปีเดียวกันด้วย

อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนชีวิต

สำหรับภาพของพิธีกรอารมณ์ดี ที่รู้เรื่องไอที หลายคนนึกคิดว่าเขาคนนี้ จะต้องจบด้านไอทีมาโดยตรง แต่ความจริงแล้ว เขาจบสาขาการแสดง และกำกับการแสดง ที่มศว ซึ่งตอนนั้น เขาเล่าว่า เขาเลือกสอบตรงเข้าเรียนสาขาการแสดง และกำกับการแสดง เพราะชอบทำหนัง และคิดว่า การจะทำหนังได้นั้น ต้องมีพื้นฐานด้านการแสดงก่อน เมื่อสอบตรงผ่าน เขาใช้เวลาว่างจากการเรียน ไปนั่งเรียนกับพี่ๆ ที่มหาวิทยาลัย

วันหนึ่งเห็นรายงานที่รุ่นพี่ส่ง จึงเกิดอาการตกใจว่าทำไม "มันสวยจัง" จนได้คำตอบว่า รุ่นพี่ใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์งาน ซึ่งตัวเขาไม่เคยใช้ นอกจากเขียนแต่รายงาน ดังนั้น จึงตัดสินซื้อคอมพิวเตอร์โดยดึงจากเงิน 1 ล้านบาทที่ได้มา กระทั่งเปิดโทรทัศน์ช่อง 11 เจอการบรรยายการเชื่อมต่อเน็ต ทำให้เกิดความสนใจ และเรียนรู้วิธีการเชื่อมต่อเน็ตจนสำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นนิสิตคนแรกของคณะศิลปกรรม ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างน่าทึ่ง!

"พอเราได้เข้ามาสู่โลกของอินเทอร์เน็ต ผมได้เจอกับเว็บพันทิป เข้าไปคุย และชอบตั้งกระทู้เกี่ยวกับหนัง โดยใช้นามแฝงว่า นักเรียนละคร ได้ครูที่ดีอย่างพี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค ซึ่งเจอกันอย่างไม่น่าเชื่อ และได้มาเล่น ICQ ด้วยกัน จากนั้นก็ได้มารู้จักพี่จอห์น นูโว (นรศักดิ์ รัตนเวโรจน์) ในงาน ICQ Party ซึ่งจัดโดยคุณปรเมศวร์ มินศิริ หรือ นายสนุกดอทคอม จากนั้นได้ถูกทาบทามไปให้ทำงานกับพี่จอห์น โดยพี่เขาสัมภาษณ์ผมผ่าน ICQ และได้ทำในรายการ IE Show ของพี่จอห์นอยู่ 5 ปี ถือคติ เป็นลูกน้อง แต่ทำงานให้เหมือนเจ้าของกิจการ" หนุ่ยเล่าชีวิตการทำงานอาชีพระหว่างเรียน

NUI+TOOK
"เจ้าของธุรกิจ" อายุน้อย

หลังจากทำงานได้สักระยะ เขาได้ร่วมหุ้นเสนอโครงการ "ไออี ไซเบอร์ เรดิโอ" รายการวิทยุบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งใช้ความรู้การเขียนแผนขอเงินจาก "อ.อำนาจ เย็นสบาย" ได้เงินมา 5 ล้านบาท ทำอยู่ได้ 7 เดือน ปรากฎว่ามีการยุติแผนการลงทุน เพราะอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังมาไม่ถึง สุดท้ายจึงตัดสินใจลาออก และขอกลับไปเรียนต่อให้จบ ซึ่งคุณจอห์นให้ลาออกแค่ 2 เดือน ในระหว่าง 2 เดือนนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยน เพราะเขาได้ไปเห็นรูปแบบเกมตามบูธที่ระบบการเล่นไม่น่าสนใจเท่าที่ควร เขาจึงรวมทีมโปรแกรมเมอร์ และจัดตั้งเป็นบริษัทโชว์ไร้ขีดจำกัดจนถึงตอนนี้รวมเวลาได้ 10 ปีแล้ว

แม้จะอยู่ ในบทบาทของนักธุจกิจที่ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ผู้ชายคนนี้ ไม่เคยลืมที่จะให้ความสำคัญกับครอบครัว ทั้งภรรยา และคุณแม่ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ทุกๆ เดือน เขาจะต้องกลับไปหาแม่ อย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อเอาเงินเดือนไปให้ และพาแม่ไปกินข้าวด้วยกัน

"ทุกวันนี้ ครอบครัวคือสายสัมพันธ์ที่ดี ผมโชคดีที่มีครอบครัวดี ภรรยาดี แม่ผมปูพื้นฐานการใช้ชีวิตที่ดีมาก สอนเรื่องการใช้เงิน สอนให้ผมรู้จักคุณค่าของการแข่งขัน ถ้าตอนป.3 แม่ไม่ผลักให้ผมแข่งขันประกวดวาดภาพที่ท้องฟ้าจำลอง ผมก็คงไม่ได้ต่อยอดความภาคภูมิใจ จนเกิดเป็นสิ่งดีได้ในวันนี้ ผมมีแม่คอยเติมทุกอย่างให้หมด" หนุ่ยเผยความรู้สึก และเชื่อว่า ครอบครัวคือแรงผลักสำคัญให้เขาเป็นหนุ่ยในวันนี้

ถึงพ่อแม่ที่ "ลูกติดเกม"

ในฐานะที่เคยติดเกมมาก่อน หนุ่ยฝากคำแนะนำจากประสบการณ์ของตัวเองถึงพ่อแม่ที่มีลูกติดเกมว่า พ่อแม่ควรมีกฎทอง เช่น จันทร์ถึงศุกร์ เล่นไม่ได้ เล่นได้เฉพาะเสาร์-อาทิตย์ เวลาไหนที่เล่นได้บ้าง เป็นต้น ซึ่งไม่ควรบังคับให้ลูกเลิกเล่น แต่พ่อแม่ควรจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับลูกบ้าง เพื่อที่จะดูว่า เกมที่ลูกเล่นเป็นเกมชนิดไหน รุนแรงหรือไม่อย่างไร การที่พ่อแม่เข้าไปพูดคุยสื่อสาร หรือเข้าไปในโลกของลูก เข้าไปถาม เข้าไปคุย เป็นสิ่งที่ดี ทำให้เด็กไม่กดดัน จากนั้นค่อยๆ ดึงลูกออกจากโลกของเกมด้วยกิจกรรมสนุกๆ เช่น พาไปเที่ยว เมื่อเด็กไม่รู้สึกเหงา เขาจะอยากทำกิจกรรมอื่นๆ นอกจากเล่นเกมเพียงอย่างเดียว

"ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับเด็กที่เล่นเกมรุนแรงแล้วจะลุกขึ้น มายิง หรือฆ่าคนได้ ผมว่าเด็กกลุ่มนี้ เป็นเด็กมีปัญหา หรือมีอาการทางจิต แต่ผมยอมรับว่าการเล่นเกมรุนแรงมีผลต่อความกระด้างในจิตใจของเด็ก ทำให้เด็กเคยชินกับเรื่องความรุนแรง ซึ่งมันอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้" หนุ่ยเผย

ถึงวันนี้ แม้ว่าดร.สุจิต หิรัญพฤกษ์ จะไม่ได้อยู่ชื่นชมความสำเร็จของลูกชาย แต่ก็ยังมีแม่ เป็นตัวแทนคอยชื่นชม และภูมิใจในตัวลูกอยู่ตลอด ซึ่งเชื่อว่า ถ้าคุณพ่อสุจิตยังอยู่ ย่อมมีความรู้สึกไม่ต่างไปจากคุณแม่เช่นกัน นอกจากนี้ เขายังมีศรีภรรยาอย่าง "ตุ๊ก-จามรี หิรัญพฤกษ์" ที่ช่วยกันทำมาหากิน เข้าใจ และอยู่เคียงข้างในทุกปัญหา เมื่อพลังจากแม่ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก บวกกับภรรยาที่หนุนเขามาตลอด เขาจึงเป็น "หนุ่ย-พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์" ที่ไม่มีใครในวงการไอที และวงการเกมไม่รู้จักเขา

ไม่มีความคิดเห็น: