วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สมาน กาญจนะผลิน


เรียน คุณสามวา สองศอก

คุณจะตำหนิผมหรือไม่ครับ...ถ้าผมจะขอเล่าบางสิ่งบางอย่าง ที่มันยังฝังลึกอยู่ในหัวใจของผมมานานหนักหนา แต่ไม่มีโอกาสนำมาเปิดเผยให้ใครๆ ได้ทราบ ทั้งๆ ที่มันผ่านมานานกว่าห้าสิบปีแล้วก็ตาม

เมื่อคุณ "ออด" ลูกชายของครู "สมาน กาญจนะผลิน" ขอร้องให้ผมเขียนอะไรในหนังสือที่จะจัดพิมพ์เพื่อรำลึกถึง "พ่อ" ในวันที่จะมีคอนเสิร์ตที่เขาจะจัดให้พ่อในปลายเดือนมิถุนายนนี้ จะเป็นเรื่องอะไรเขาก็ไม่ขัดข้องทั้งนั้น ซึ่งผมก็ไม่น่าจะข้องขัดแต่อย่างใด เพราะเรื่องที่จะเขียนถึงครูสมาน กาญจนะผลินนั้นมีมากมายที่จะนำมาเล่า โดยเป็นแต่เรื่องที่ดีงามทั้งสิ้น แทบจะพูดได้เลยว่า เรื่องเสียหายที่จะมีของครูสมานนั้น แทบจะไม่มีเอาเสียเลย

ใครต่อใครเลยเรียกครูสมานว่า "สมานหวานเย็น" นี่เป็น "สมญานาม" ที่ครูสมานได้รับเมื่อปีสองพันห้าร้อย ตอนที่พี่สุวัฒน์ วรดิลกเป็นหัวหน้านำศิลปินไทยร่วม ๕๐ คนไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับสาธารณรัฐประชาชนจีน สมัยที่ท่านประธาน "เหมา เจ๋อ ตง" และท่านนายกรัฐมนตรี "โจว เอิน หลาย" ยังปกครองชาวจีน ๓๕๐ ล้านคนให้รุ่งเรืองและมีกินมีใช้มาจนทุกวันนี้ จนกระทั่งประชากรเพิ่มมาเป็น ๑,๓๐๐ ล้านในปัจจุบัน

ครั้งนั้น...เพราะความหวาดกลัวกฎหมาย ที่บังคับเราประชาชนคนไทยให้ต้องพึงระวังในการเดินทางไปประเทศที่มีการปกครองที่ผิดแผกแตกต่างจากประเทศไทย (ประเทศจีนใช้คำว่า "สังคมนิยม") ซึ่งประเทศเราตีความว่าเป็น "คอมมิวนิสต์" นั่นเอง แต่เราคงจะยังไม่พูดถึงความแตกต่างในการปกครองของไทยและจีนไว้ก่อน เพราะนี่ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเรื่องที่ผมจะเล่าในวันนี้

แท้ที่จริงแล้ว! ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ช่วงเวลานั้น จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีปกครองประเทศอยู่ ท่านเริ่มมีความคิดบางอย่างทางด้านการปกครอง ที่มีอเมริกา (ลูกพี่ใหญ่) ชักใยอยู่เบื้องหลัง ท่านการสั่งการต่างๆ ที่ท่านต้องยอมรับเอาความคิดความอ่านของอเมริกัน ทำให้ท่านต้องคิดหนัก เพราะคำสั่งที่ผู้นำประเทศเล็กๆ อย่างไทยต้องฟังคำบงการของผู้นำฝ่าย "โลกเสรี" ที่มีอเมริกาเป็นหัวโจก จะผลักดันให้เราเป็นศัตรูกับประเทศที่มีการปกครองไม่เหมือนกันนั้น ย่อมไม่เป็นผลดีกับประเทศที่ยังด้อยพัฒนาอย่างประเทศไทยอย่างแน่นอน

ท่านจึงหลิ่วตาให้มือขวาของท่าน พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เปิดทางให้ "คณะศิลปินไทย" มีสัมพันธ์กับจีนไว้ก่อน โดยการอนุญาตให้นักประพันธ์เอกอย่าง "สุวัฒน์ วรดิลก" นำศิลปินแต่ละแขนงไปประเทศจีนอย่างไม่เปิดเผยเป็นทางการ หลังจากที่ได้อนุญาตให้นักกีฬาไทยไปแข่งขันกีฬาหลายอย่างกับจีนมาแล้ว แล้วกลับมาอยู่ห้องขังในสันติบาลพอเป็นพิธี

อเมริการะแวงอยู่แล้วว่าไทยจะเอาตัวรอด จึงหันไปยุแยงจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ให้ทำการปฏิวัติจอมพล ป.พิบูลสงคราม เสีย เพราะฉะนั้นเมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษเสร็จเรียบร้อย จอมพลสฤษดิ์ก็ปฏิวัติจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๐ จนจอมพล ป.พิบูลสงครามต้องหนีตายไปญี่ปุ่น และมือขวาจอมพล ป.พิบูลสงคราม คือพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ก็ต้องหนีไปตายที่สวิตเซอร์แลนด์กับลูกน้องตำรวจ (อัศวิน) บางคนที่จงรักภักดี

ข้อปลีกย่อยของการเมืองบ้านเราขณะนั้น ผมคงไม่นำมาเล่าต่อนะครับ หลายๆ ท่านอาจจะได้อ่านการวิเคราะห์ของนักวิชาการบางท่านมาแล้ว และท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ท่าน เพราะเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของชาวไทยทุกคน

มาว่าเรื่อง "ครูสมาน กาญจนะผลิน" ของเราดีกว่า...เมื่อเราเดินทางจากฮ่องกงในวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๐๐ โดยขบวนรถไฟทั้ง ๔๘ คน ขบวนรถไฟก็พาเราไปถึง "เกาลูน" ชายแดนฮ่องกงกับจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากธงทิวที่ปลิวสะบัดอยู่ตามพรมแดนเป็นธงแดง มีค้อนเคียวอยู่เป็นสัญลักษณ์ตรงกลาง มีสถานีตรงชายแดนของจีนชื่อ "โหล่หวู" และมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองอยู่ที่สถานีโหล่หวูด้วย โดยเราทุกคนจะต้องขนสัมภาระ (กระเป๋า) ส่วนตัวเข้าไปในเขตแดนของจีนด้วยตนเอง

นักดนตรีไทยก็ยุ่งยากหน่อย เพราะเครื่องดนตรีไทยอันมีระนาด, ฆ้องวง, กลองทัด, ล้วนเป็นของใหญ่และหนักพอสมควร แต่ได้เด็กหนุ่มที่ร่วมมาด้วยกับทีมฟันดาบของครูมงคล จันทบุปผา ช่วยกันแบก ก็ทำให้ความยุ่งยากในการขนผ่อนคลายไป

ป้าทอง "สุลาลีวัลย์ สุวรรณทัต" ปล่อยโฮ เมื่อเห็นธงจีนปลิวสะบัด พร้อมเปล่งเสียงคร่ำครวญคิดถึงลูกๆ ที่อยู่กรุงเทพฯ ขึ้นมาทันที ร้อนถึงพี่สุวัฒน์ วรดิลก หัวหน้าคณะต้องเข้าปลอบโยน ด้วยถ้อยคำที่ทำให้ป้าทองผ่อนคลายความกังวล ว่า "ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะพวกเรามาเป็นกลุ่มก้อนและการมาครั้งนี้ก็ได้รับอนุญาตเรียบร้อยแล้ว รับรองว่ากลับเมืองไทยได้แน่นอน อย่ากลัวเลย"

ถึงกระนั้นป้าทองก็ยังไม่คลายหวาดกลัว ต้องให้ปื้ด "ทนงศักดิ์ ภักดีเทวา" ลูกชายคนโตเข้าไปปลอบโยนจนป้าทองยอมเข้าไปในอาณาเขตของสาธารณรัฐประชาชนจีนแต่โดยดี ขบวนรถไฟทั้งขบวนซึ่งมีพวกเราชาวไทยล้วนๆ จะมีต่างชาติก็เพียงคนเดียวคือ "มิสเตอร์เก็ง" มือกลอง ซึ่งดูท่าทางก็ไม่กลัวการเข้าประเทศจีนเท่าไหร่นัก แต่พออยู่ไปนานๆ ก็คิดถึงบ้าน จะหนีกลับก็หลายหน

เมื่อการเดินทางโดยรถไฟของทางการจีน ที่มีบริการอย่างดีทั้งการกินการอยู่ (ในรถไฟ) ใช้เวลาเดินทางโดยไม่หยุดพักเลยทั้งกลางวันกลางคืน หยุดเพียงเปลี่ยนขบวนรถเมื่อจะต้องข้ามแม่น้ำเหลือง (เพราะทางการจีนกลัวเกิดอุบัติเหตุ จึงให้เราถ่ายเทมาลงเรือซึ่งขณะนั้นหนาวมาก จึงได้มอบชุดกันหนาวบุนวมให้ทุกคนสวมใส่) แล้วมาขึ้นขบวนรถไฟใหม่ เดินทางเข้า "ปักกิ่ง" รวมเวลาเดินทางถึงสองคืนสามวันเต็มๆ

ถึงปักกิ่งเย็นวันที่ ๓๐ เมษายนพอดี อยากจะพักผ่อนแต่ก็ต้องออกไปในอุทยานที่มีการจัดงานใหญ่ เพราะผู้คนจากประเทศต่างๆ ที่ทางการจีนเชิญเอาไว้มากันพร้อมหน้าพร้อมตา ผู้ใหญ่ของจีนก็ต้องออกมาพบปะกับแขกเหรื่อต่างประเทศเกือบทุกคน ต่างพากันชนแก้วเหล้าแล้วเปล่งเสียง "กันเปย" (หมดแก้ว) จนเมากันถ้วนหน้า

เช้าวันที่ ๑ พฤษภาคมเราทุกคนต้องออกมาชมขบวนผู้ใช้แรงงานออกมาเดินขบวนหน้าลานจตุรัส "เทียนอันเหมิน" อันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ขบวนแล้วขบวนเล่าที่แรงงานคนจนออกมาแสดงแสนยานุภาพทางแรงงาน และยุทโธปกรณ์ต่างๆ ถูกนำออกมาโชว์ ให้พวกเราชมไม่ขาดสาย

ผมเองทนอากาศเย็นไม่ไหวถึงกับเลือดกำเดาไหล เดือดร้อนแพทย์จีนต้องเข้ามาช่วยเหลือ แล้วนำกลับมาพักที่โฮเต็ลที่พักคือ "เฉียนเหมินฟั่นเตี้ยน" ค่ำต่อมามีการซ้อมเพลงและรายการที่จะต้องแสดง ให้ประชาชนจีนและผู้ใหญ่ของจีนชมในอีกสามวันข้างหน้า ลุงจุมพล กาญจนินทุ กับประสิทธิ์ ยุวะพุกกะ ช่วยกันสร้างฉากมีภาพพระปรางค์วัดอรุณฯ เด่นเป็นสง่าเป็นแบ็กกราวด์ เมื่อส่องด้วยไฟสีส้มสาดแสงเป็นพระอาทิตย์ดวงโตทำให้สุดสวยยิ่ง พร้อมกับฉากกระท่อมบรรยากาศบ้านนอก เข็นเข้ามาประกอบในช่วงที่มีการฟันดาบ ที่น่ากลัวและสนุกคละเคล้ากันไป

รวมทั้งฉากงดงามที่มีพี่สุพรรณ บูรณพิมพ์ ต้องออกไปรำไทยร่วมกับพี่เพ็ญแข กัลย์จาฤก มีเด็กๆ สาวสวยออกไปฟ้อนรำ ทั้งรำวง ทั้งรำไทยสร้างความตื่นตาตื่นใจ แก่ประชาชนชาวสาธารณรัฐประชาชนจีน และผู้ใหญ่ของจีนเป็นอย่างดี ดนตรีสากลซึ่งอยู่ในความควบคุมของครูประสิทธ์ พยอมยงค์ คนตัวเล็กแต่หัวใจใหญ่เพราะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยจากการเดินทางแต่อย่างใด ผิดกับคนตัวโตๆ บางคนที่ต้องมีพยาบาลคอยดูแลตลอดเวลา

ส่วนครูสมาน กาญจนะผลิน คนที่ผมกำลังจะเล่ามาถึงนั้น กลับมีสุขภาพอนามัยดีผิดกับคนอื่นๆ ซึ่งนอกจากจะต้องคอยประคับประคองเพื่อนนักดนตรีไทย มีทั้งครูชดเล่นฆ้องวง ลุงจำลองตีกลอง ลุงพรตเป่าปี่ ส่วนระนาดเอกนั้นมีทั้งครูบุญยงค์ เกตุคง, บุญยัง เกตุคง ซึ่งพี่น้องทั้งสองท่าน คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติไทยยกย่องให้เป็น "ศิลปินแห่งชาติ" ในเวลาต่อมา
ความสามารถของครูสมานนั้น ท่านเข้าได้ทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล เพราะความรู้ความสามารถดั้งเดิมนั้น ท่านได้รับจากบุพการีคือ "จมื่นคนธรรพ์ประสิทธิ์สาร" (แตะ กาญจนะผลิน) ผู้มีความเชี่ยวชาญทางเพลงไทยเดิมอย่างมากมาย ทำให้ครูสมานแตกฉานทางดนตรีไทย ยากที่จะหาตัวเทียบเท่าได้ในปัจจุบัน

บรรดาครูดนตรีไทยที่ผมเอ่ยนามมาข้างต้นนี้ ท่านเป็นผู้สูงอายุแล้วทั้งนั้น ภาวะทางจิตใจย่อมไม่ค่อยจะปกติเช่นคนหนุ่มสาวทั่วไป ความหวาดระแวงว่าจะได้รับโทษจากรัฐบาลไทยก็ดี ความหวาดระแวงว่าจะไม่ได้กลับเมืองไทยก็ดี ทำให้จิตใจท่านเหล่านี้หวั่นไหวเดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ไม่สงบ ทำให้การปกครองเป็นไปด้วยความทุกลักทุเล ครูสมานก็จะต้องเข้าไปปลอยโยน พูดคุยให้คลายทุกข์ ดูแลเอาใจใส่แทบทุกคน บางครั้งมีการแสดงบนเวที แต่บางคนก็ไม่สามารถทำงานได้เหมือนเคย ครูสมานจำเป็นต้องโดดลงไปทำแทนแทบทุกครั้งไป

ขณะเดียวกันฝ่ายดนตรีสากล ซึ่งมี ม.ร.ว.พรพุฒิ วรวุฒิ เป็นตัวคอยเชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่างนักดนตรีที่เป็นเพื่อนๆ กันทั้งนั้นไม่มีปัญหามากนัก เว้นแต่นักดนตรีบางคนเช่นมิสเตอร์เก็ง ซึ่งเป็นนักตีกลองกลับเป็นคนเรื่องมาก เพราะเขาไม่ค่อยยอมอาบน้ำแม้จะมีเครื่องทำน้ำอุ่นไว้ให้ทุกห้องน้ำ เขาก็มักจะบิดพลิ้วไม่ยอมอาบน้ำเป็นอาทิตย์ๆ ทำให้เพื่อนๆ โวยวาย ถึงกระนั้น "เก็ง" ก็ไม่แคร์ มิใยใครจะพูดอย่างไร เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่รู้ไม่ชี้ จนคนอยู่ใกล้เลิกบ่นไปเอง

สิ่งที่ผมจะต้องพูดเอาไว้ตรงที่นี้ก็คือ ครูบุญยงค์ เกตุคง ที่ผมเกริ่นเอาไว้ข้างต้นนั้น ครูสมานกำหนดให้ครูบุญยงค์เป็นผู้เล่นเพลง "นางอาย" ให้ผมร้อง ดังที่ผมเรียนเอาไว้แต่แรกแล้วว่าผีมือท่านขนาดไหน ดังนั้นเมื่อผมร้องเพลงนางอาย โดยมีครูบุญยงค์เล่นระนาดรับในท่อนดนตรีรับ จึงไพเราะราวดนตรีสวรรค์บรรเลงก็ไม่ปาน

ท่านนายกรัฐมนตรี "โจว เอิน หลาย" ถึงกับลุกขึ้นยืนปรบมือ ทำให้ประชาชนในโรงละครต่างลุกขึ้นยืนตามนายกฯ ปรบมือให้กราวใหญ่และเนิ่นนาน ทำให้ผมต้องออกไปร้องอีกครั้ง เมื่อร้องและบรรเลงจบลงท่านก็ลุกขึ้นปรบมือ และอุทานออกมาว่า "เสียงดนตรีของท่านที่บรรเลง ฟังแล้วคล้ายกับไข่มุกหล่นบนจานหยกทีเดียว"


นี่คือการตัดสินใจของหัวหน้าวงที่ชื่อ "สมาน กาญจนะผลิน" และทำให้ผมจดจำวันอันยิ่งใหญ่เช่นนี้มาจนทุกวันนี้ "สมาน กาญจนะผลิน" ผู้สร้างให้ผมเกิดมาในภาคส่วนของการขับร้องเพลง เป็นนักร้องแผ่นเสียงทองคำคนแรก (ฝ่ายชาย) และมีเพลงฮิตชื่อ "รักคุณเข้าแล้ว" ที่ครูสุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ ประพันธ์คำร้อง ที่ทำให้คนไทยสมัยนั้น (สิบแปดล้านคน) รู้จักและเริ่มใช้คำ "ผม" และ "คุณ" ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๗ จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๕๖ ปีแล้ว
มิหนำซ้ำ...ทำให้ผมเป็นนักร้องไทยคนแรก ที่ได้ร้องเพลงจาก "อังคอร์" ที่ชาวจีนเรียกร้องให้ผมร้องใหม่อีกครั้ง โดยไทยเราเองก็ยังไม่เคยมีระบบนี้เลย รวมทั้งเป็นนักร้องชายคนแรกที่ได้ "ศิลปินแห่งชาติ" เมื่อปี ๒๕๓๓ แล้วจะให้ผมลืมท่านได้อย่างไร?
เรืออากาศตรีสุเทพ วงศ์กำแหง
นายกสมาคมนักร้องแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ตอบ คุณสุเทพ วงศ์กำแหง
ขอบคุณครับที่นำเรื่องราวเก่าๆ มาเล่าสู่กันฟัง
สามวา สองศอก

ไม่มีความคิดเห็น: