เที่ยวไป บ่นไป New Zealand Charter III: กว่าจะถึง Wanaka

“ปังงงงงงง”
เสียงปิดประตูรถนอกห้อง ปลุกให้ผมสะดุ้งตื่น หกโมงเช้า ยังเหลือเวลาพอสมควรทำธุระส่วนตัวก่อน ก่อนลากกระเป๋ามาที่รถ….พระเจ้าช่วยกล้วยทอด
ภาพที่เห็น กลุ่มคุณนู๋ญิงลากกระเป๋ามาพร้อมกันที่รถโดยไม่ได้นัดหมาย ....เริ่มเป็นนิมิตรหมายอันดีในการเที่ยวแล้ว ขับรถมาที่Office ที่พัก Glacier Gateway Motel ดูแล้วยังไม่มีคนมาทำงาน หาที่ Drop กุญแจก็ไม่มี ต้องเปลี่ยนแผนไปเ ที่ยวก่อนแล้วกลับมาคืนกุญแจก่อน 10 โมงเช้า มิฉะนั้นต้องเสียค่าปรับทั้งห้องพักและตกทัวร์ Helicopter ที่กลุ่มคุณนู๋ญิงจองไว้ ส่วนผมขออยู่เที่ยวข้างล่างแทนก็แล้วกัน ช่วงเช้าผมวางแผนเที่ยวจากแผนที่ ไป ทะเลสาบMatheson ซึ่งเป็นทางเดียวกับไป Fox Glacier เลย เพียงแต่ตัดแยกก่อนเข้าตัวเมือง Fox ตัดเข้าถนน Cook Flat ผมลากแผนที่ใน GPS ไปสุดถนน เมื่อเทียบกับแผนแล้วไม่น่าหลงทาง
บรรยากาศยามเช้าดูฟ้าครึมเหมือนมีฝน “คงจะไม่เห็นเงาสะท้อนบนทะเลสาบ ต้องทำใจแล้ว”ผมปลอบใจตัวเอง การเดินทางจาก Franz Josef Glacier ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมงถึง ทะเลสาบ Matheson ร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกเปิดตั้งแต่เช้า ที่จอดรถมีรถนักท่องเที่ยวมาจอดหลายคัน บางคันน่าจอดนอนตั้งแต่เมื่อคืน เรียกว่าประหยัดอีกทางใครสนใจก็ลองดูนะ 8 โมงเช้าแล้ว เรานัดเวลาเจอกันที่รถ 9 โมง เพื่อที่จะได้ไปถึงพัก Motel ที่พัก 9.30 น.มีเวลา 1 ชั่วโมงในการเที่ยว ว่าแล้วผมก็แบกอุปกรณ์กระเป๋ากล้องออกเดินทันที่ไม่รอใครแล้ว
แม้ฟ้าเน่า คงไม่เห็นเงาตะวัน
ป้ายแผนที่บอกทางเดินรอบทะเลสาบ Matheson มีจุดชมวิวหลัก 2 จุดคือ Jetty Viewpoint Short Walk ใช้เวลาไปกลับ 40 นาที และจุดที่สอง Reflection Island ใช้เวลาเดินทางไปกลับ 1.5 ชั่วโมง โดยเฉพาะ Reflection Island ถือว่า เป็น The Best Of the Views ดูเวลาแล้ว ไม่อยากคิดมาก ตรงไหนก็ได้ขอให้ Reflect เถอะ ว่าแล้วใส่เกียร์ 1 ออกเดิน
ใช้เวลาเดิน 15 นาที เจอที่พักริมทะเลสาบ มีนักท่องเที่ยวตั้งกล้องถ่ายรูปอยู่หลายคน แสดงว่ามารอแต่เช้า แต่ผมดูแล้วคงไม่ใช่ Jetty แน่ๆ เพราะไม่มีป้ายบอกเลย แสดงว่ายังไม่ถึง ว่าแล้วรีบเดินลักษณะกึ่งวิ่ง กึ่งเดิน ทางเดินเป็นลักษณะเหมือนขึ้นลงภูเขา แต่เขาทำดีมาก ปรับพื้นทางเดินให้เสมอกันมีอิฐก้อนเล็กโรยเป็นทางเดินชัดเจน เริ่มท้อใจยังไม่เห็นป้าย Jetty เลย แต่กลับเจอป้าย The Best Of the Views บอกว่าเดินไปอีก 1 กม.ไม่ไกลเท่าไร รีบเลย ใจหนึ่งก็คิดยังไม่ได้ภาพสวยเลย อีกใจหนึ่งก็กลัวไม่ทันกำหนดเวลา “หรือว่า ส่งพวกนี้ขึ้นเครื่องแล้วเรากลับมาอีกที่” ผมเริ่มคิดทางออก
ผมถึงจุด The Best of the Views ด้วยอาการหอบกิน ระหว่างหามุมถ่ายรูป แสงไม่มีเลย มืดๆ ภูเขาฉากหลังโดยปกคลุมด้วยเมฆหมอกบางๆ ฟ้าเหมือนเน่าแบบไม่เห็นเงาจันทร์ “บรรลัยแล้วเรา” ผมคิด แสดงว่า Jetty Viewpoint คือจุดที่ผมเดินผ่านเลยมา ไม่มีเวลาคิดแล้ว ผมก็กดShutter กล้องถ่ายรูปอย่างบ้าคลั่ง ถ้าเป็นปืนกลอัตโนมัติ ก็ต้องเรียกว่ายิงหมดไปหลายแมก......กลุ้มใจโว้ย ถ่ายอย่างไร มันก็เน่า แต่ก็ยังดี เน่าแบบไม่มีกลิ่น เริ่มกลุ้มใจ เราคงไม่ได้ภาพสวยเหมือนใน Postcard ที่เขาทำขายแน่ๆ โอกาสสุดท้ายในการแก้ตัว จุดชมวิว Jetty อาจได้ภาพดีๆ บ้าง ผมเดินย้อนกลับทางเก่า ตอนนี้ที่ Jetty มีนักท่องเที่ยวชาวภารตะกลุ่มใหญ่ ไม่รู้พี่แกดีใจเรื่องอะไร ร้องเพลงแบบแขก “เจิ้น เจิ้น เจิ้น” พร้อมเต้นทำให้พื้นไม้ที่ทำเป็นที่ชมวิวยื่นไปน้ำสั่น ดังนั้นภาพถ่ายที่ได้ของผมถ่าย สั่นแทบทุกภาพ
“โอย กลุ้มใจ” ผมนั่งรอกลุ่มพวกนี้เมื่อไรจะไปสักที่ แต่ยิ่งสาย คนมามากเรื่อยๆ ความตั้งใจที่จะนั่งรอแสงต้องพับไป เอาหละ ถ่ายมันตรงนี้หละ ว่าแล้วก็ยิงชุดเหมือนเดิม
“แป๊ก แป๊ก แป๊ก แป๊ก” เสียงชัตเตอร์ผมมันช่างรันทดหัวใจเหลือเกิน ฟ้ายังเน่า แสงทึม แถมยังรู้สึกฝนเริ่มตกปอยๆ เบื่อจริง ว่าแล้วเก็บอุปกรณ์กลับดีกว่า ผมเดินมาที่จุดนัดพบด้วยสีหน้าหม่นหมองไม่ต่างจากสีท้องฟ้าวันนี้แนวช้ำเลือดช้ำนอง เสียดายมาก ทะเลสาบ Matheson ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์ยอดฮิตของนิวซีแลนด์ ผมยืนมองภาพวิวเห็นเทือกเขาเซาท์เทริ้น แอลป์ส แถมด้วยเทือกเขาเมาท์คุกและเมาท์ทาส อยู่เด่นสง่าเป็นฉากหลัง
อ้าวกลุ่มคุณนู๋ญิงมารออยู่ที่รถแล้วทำไมถึงยังไม่เข้ารถอีก ได้ความว่า ชายน้อยหากุญแจรถไม่เจอ ตอนนี้ลงทุนถอดเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ออกให้ คุณนู๋ญิงและคุณนู๋เล็กช่วยถอดตรวจที่ละชิ้น เลยเวลานัดมา 10 นาทีแล้วยังหาไม่เจออีกชายน้อยเกิดอาการเครียด ปลดเข็มขัดถอดกางเกงให้ผมช่วยตรวจดูว่าหล่นอยู่ข้างในไหม แต่แล้ว โชคช่วยสำหรับผม เสียงกุญแจหล่นจากเสื้อลงมา เรียกเสียงหัวเราะกับทุกคนได้ยกเว้นชายน้อยที่เกือบจะเป็นชายเปลือยไปแล้ว
“ถ้าหากุญแจไม่เจอ ตกเครื่อง ค่าทัวร์คนละ 270 NZ แถมโดนปรับส่งกุญแจห้องช้าอีก ไม่รู้จะเสียอีกเท่าไร” คุณนู๋เล็กเริ่มบ่น
อีก 10 นาทีจะโดนค่าปรับค่าห้อง เราถึงที่พัก Glacier Gateway Motel รีบลงรถไป Checkoutเจ้าของ Motel หน้าตาแกเสมอไม่เปลี่ยนเลย คือ หน้าหงิกบอกบุญไม่รับออกมารับกุญแจคืน
“บ่ายโมง เจอกันที่นี้นะ” คุณนู๋ญิงนัดเวลา ก่อนที่ผมจะแยกตัวเอารถไปเติมน้ำมันแล้วหาของกินในเมือง Franz Josef มีคนบอกว่าเป็นเมืองที่ใหญ่และคึกคักกว่า Fox ก็ตาม ผมลองขับรถเล่นในเมืองมีถนนไม่กี่สายเอง ผมถือโอกาสซื้ออาหารมื้อกลางวันด้วยเลย หลังจากนั้นก็เดินshopping ในร้านขายของที่ระลึก ผมชอบขนของ Possum นุ่มมือมาก น่าซื้อแต่เห็นราคาแล้ว ถอยยยยดีกว่า
ตะกายเดี่ยวลุยขึ้น Glacier

11 โมงแล้ว ผมออกเดินทางไป Franz Josef Glacier ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมือง Franz Josef เพียง 5 กิโลเมตร
“ไหน ไหนมาถึงแล้วก็ต้องไปเหยียบธารน้ำแข็งสักหน่อย” ผมคิดช่วงขับรถ บรรยากาศผมตอนนี้เหมือน ไฮโซมากๆ มาขับรถเที่ยวนิวซีแลนด์คนเดียว ออกจากตัวเมืองผ่านสะพานข้ามแม่น้ำWaiho ซึ่งน้ำสีน้ำนม พาลนึกถึงเนปาล ที่เอามาอาบและกิน บอกว่าเป็นน้ำนมมาจากสรรค์ ผมผ่านสะพานเลี้ยวขวาก็ถึงทางเข้า 4 กิโลเมตร ผมเห็นวัยรุ่นหลายคนเดินเท้าไปที่ Glacier เสียดายถ้ามีสาวๆโบกรถ จอดรับเลย
เข้ามาสัก 5 ร้อยเมตร เจอป้ายบอกไว้ว่าเมื่อ 30 ปีก่อนธารน้ำแข็ง (Glacier) ยาวถึงตรงนี้ ขับรถเข้าไปเรื่อยๆ มีป้ายบอกเวลาการหดตัวของธารน้ำแข็ง จนทำให้ผมเริ่มรู้สึกถึงความกลัวในเรื่องโลกร้อนเหลือเกิน เขาบอกว่าธารน้ำแข็งหดหายไปปีละ 0.5% ไม่รู้ว่าอีก 100 ปี สงสัยต้องขึ้นHelicopter ไปดูบนยอดเขาแล้วมั้งละ และอีก 200 ปีคงไม่มีธารน้ำแข็งให้ดูแล้ว

ลานจอดรถมีนักท่องเที่ยวจอดรถกันหลายคัน ผมถือโอกาสจัดการอาหารกลางวันบนรถให้เรียบร้อย ก่อนออกเดินทาง เดินมาถึงป้ายบอกเส้นทาง มีให้เลือก 2 ระดับ คือ Sentinel Rock Walk เป็นเส้นทางเดินขึ้นเขาเพื่อชมทิวทัศน์ของธารน้ำแข็ง ใช้เวลาเดินทางไปกลับ 20 นาที ก็คือเดินไปแค่สุดถนนที่เขาทำไว้ และอีกระดับ Franz Josef Glacier Walk ใช้เวลาในการเดินทางไป-กลับ ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยเริ่มจากสุดถนนปลายถนน Glacier Express ลัดเลาะไปตามแม่น้ำไวโอเพื่อไปส่วนปลายธารของธารน้ำแข็ง และอีกโปรแกรมหนึ่งต้องมีไกด์ผู้ชำนาญทางนำคือการขึ้นไปเที่ยวบนธารน้ำแข็ง ซึ่งต้องใช้ชุดและรองเท้าที่ทางบริษัททัวร์เตรียมไว้ค่าใช้จ่ายน่าจะ 120 NZ

ผมเดินจนสุดถนน ตรงนี้มีป้ายแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงธารน้ำแข็งในช่วงหลายสิบปี ใครเดินไม่ไหวมีเก้าอี้นั่งชมทิวทัศน์ มองเห็นปลาย Glacier เห็นกลุ่มคนเดินตัวเล็กนิดเดียว ดูเหมือนว่าธารน้ำแข็งอยู่ไม่ไกล แต่เดินอย่างไรก็ไม่ถึงสักที่ บริเวณที่เราเดินผ่านมีน้ำตก 3 สาย ในระหว่างที่กำลังบันทึกภาพอยู่นั้น ผมเหมือนได้ยินเสียงเหมือนใครเรียกชื่อ ไม่น่าเชื่อเราดังถึงนิวซีแลนด์เลยเหรอ 555 หันกลับไป
กลุ่มคุณนู๋ญิง โบกไม้โบกมือให้สัญญาณผมถ่ายรูป อ้าวทำไมขึ้นเครื่องบินเสร็จเร็วจัง ได้ความว่า บริษัททัวร์มารับที่ Motel ก็เวลา 10.30 น. อีกทั้ง Helicopter ไม่สามารถบินได้เนื่องจากวันนี้อากาศแปรปรวน จึงเปลี่ยนใจซื้อทัวร์เดิน Track ขึ้น Glacier แทน
อ้าว ทำไม เขาไม่จ้างรถหรือเดินมาผมที่ Glacier หละ เพราะยังไงก็รู้ว่าผมจะมาที่นี้อยู่แล้ว กลายเป็นว่า ทริปนี้เราเที่ยวเหมือนกันเลย ต่างกันตรงที่ผมไม่ต้องเสียกะตังค์ซักเหรียญ ดูสีหน้าคุณนู๋ญิง สีหน้ายิ้มแบบจืด จืด เลยไม่กล้าถามว่าเสียค่าทัวร์ไปเท่าไร คงหมดอารมณ์ที่ต้องเสียเงิน (แอบได้ยินว่าคนละ 150NZ)
“เปลี่ยนเวลาเจอกันที่ปั๊มน้ำมันในเมืองบ่ายสองโมงนะค๊ะ” คุณนู๋ญิงบอกผมพร้อมชูสองนิ้วให้ผมถ่ายรูปคู่กับชายน้อย
“ไม่เจอกันที่จอดรถไม่ดีกว่าเหรอ จะได้ไม่ต้องย้อนกลับเข้าในเมือง” ผมถามคุณนู๋ญิง คุณนู๋ญิงไม่ตอบ แต่ชี้นิ้วให้ผมดูที่ชุด แล้วบอกว่าต้องกลับไปคืน ชุดเครื่องแบบสีน้ำเงิน และรองเท้าบูธที่บริษัทหลังจากเสร็จสิ้นทริป
“อย่างนั้นแล้วเจอกันนะครับ” ผมตอบ ในขณะที่กลุ่มคุณนู๋ญิงวิ่งเข้าไปรวมกับกรุ๊ปทัวร์

มีตำนานชาวเมารีเกี่ยวกับธารน้ำแข็งแห่งนี้ ว่า นานมาแล้ว เมื่อไรไม่รู้ ผู้หญิงหิมะนามว่า Hine Hukatrer ได้ชวนคนรัก ชื่อ Tu Awe ไปปีนภูเขาเล่นกัน แต่แล้วชายคนรักเกิดหน้ามืดหมดแรงสงสัยเมื่อคืนไม่รู้ว่าทำอะไรกันไม่ยอมนอนพลาดตกลงมาเสียชีวิต นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พรุ่งนี้ขึ้นภูเขา ต้องนอนมากๆ (ไม่ใช่ครับ) ตำนานบอกว่า เธอเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรบนยอดเขา ไม่รู้ว่าน้ำตาหมดไปกี่ปิ๊บ น่าจะเรียกว่ารักมากมาย รักเธอมากมาย น้ำตาของเธอไหลออกมามหาศาล และได้แข็งเป็นธารน้ำแข็งไปชั่วกาลนานอย่างเห็น ชาวเมารีเรียก Glacier ว่า Ka Roimata o Hine Hukatrer หมายถึงน้ำตา Hine Hukatrer น้ำตาไหลจากตาข้างหนึ่งของเธอกลายเป็น Franz Josef Glacier และอีกข้างหนึ่งกลายเป็น Fox Josef Glacier ไม่น่าเชื่อว่าความรักของผู้หญิงช่างยิ่งใหญ่ยาวไกลหลายกิโลเหลือเกิน ผมเลยมีความคิดขึ้นมา หากใครอยากสมหวังความรัก ต้องขึ้นเขาลูกนี้ไปพิสูจน์รักแท้ถึงปลาย Glacier แล้วอธิฐานจะสมหวัง ไม่เชื่อผมงวดหน้าไปนิวซีแลนด์ลองทำดูซิ

ตอนนี้ผมรับบทเป็นชายคนรักของ Hine แบกสัมภาระกระเป๋ากล้องหนักประมาณ 15 กิโล เราต้องขึ้นเขาลูกหนึ่งก่อนที่จะไปถึงปลาย Glacier ผมยืนหอบมองยอดเขา ที่มีเชือกกันกลางอยู่ แต่ผมเห็นฝรั่งสองคนเดินลอดเชือกตามกลุ่มทัวร์คุณนู๋ญิงขึ้นเขาไป ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิวก็ต้องหลิวตาตาม ผมเลยขึ้นตามบ้าง ภูเขาเป็นลักษณะคล้ายเขาหินปูน คล้ายดอยหัวหมดที่ตาก แต่กว่าจะขึ้นถึงยอดบนเขา เรียกว่าหอบไปหลายรอบ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไม Tu Awe คนรักของ Hine ถึงขาอ่อนตกเขาไป แสดงว่าคุณเธอให้ที่รักแบกตู้กับข้าวขึ้นมา Dinner กันบนยอดเขา
ผมเริ่มมองเห็นคนตัวเล็ก อ้าว นั้นเหมือนชายน้อยเลย ทำไมนั่งแอบหลบอยู่ที่ตีนเขากับคุณนู๋เล็กหละ ปล่อยให้คุณนู๋ญิงขึ้นไปด้านบน Glacier เพียงคนเดียว ตอนนี้เองที่ทำให้ผมรู้ความจริงตอนหลังว่า ชายน้อยและคุณนู๋เล็ก เป็นคนกลัวความสูง อย่างนี้ก็ขาดทุนยกใหญ่ซิ จ่ายสามได้ขึ้นหนึ่งเอง ถึงว่า เวลาขับลงเขาแกเลยไม่กล้าขับ ต้องให้ผมเป็นคนขับตลอด
และแล้วผมก็ไต่ขึ้นไปถึงยอด ปลาย Glacier สวนกับไกด์ฝรั่งกำลังนำลูกทัวร์ลงจากเขา แกถามผมว่า ผมมาจากไหน ผมบอกว่าเมืองไทย เท่านั้นหละ แกยกนิ้วโป้งให้ สักพักสวนกับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน3 คน ซึ่งขึ้นมาเที่ยวเอง อยู่ในสภาพหิ้วปีกผู้หญิงอีกคนลงจากยอดเขาลงอย่างทุลักทุเล ดูอาการเหมือนเป็นขาแพลง ในระหว่างที่ผมกำลังเก็บภาพอยู่บนยอดเขายังไม่ได้ขึ้น Glacier คณะทัวร์คุณนู๋ญิงก็ลงมาจาก Glacier แล้ว
“ทำไม 150 NZ มันหมดเร็วจัง” ผมคิด แต่ผมยังไม่ได้ขึ้น Glacier เลย ว่าแล้วก็เดินบนธารน้ำแข็ง เพียงแรกสัมผัสน้ำแข็งก็ลื่นปัดๆๆ ถ้านึกไม่ออก ลองสั่งน้ำแข็งกั๊กใหญ่ๆ มาลองเหยียบดู รับรองความรู้สึกไม่ต่างกันเลย แสดงว่านักท่องเที่ยวชาวจีนคงลื่นจนบาดเจ็บ อ้อ รู้เลย คนรักHine ไม่ได้ใส่รองเท้ากันลื่นแน่ๆ

ไม่ได้แล้วสำหรับผม ต้องปลอดภัยไว้ก่อน พยายามเดินช้าๆ ทรงตัวบนก้อนน้ำแข็ง ต้องระวัง มาเที่ยวคนเดียว หากเป็นอะไร กลัวต้องอยู่เป็นเพื่อน Hine
ดังนั้น “อยู่มันตรงนี้หละ ถ่ายรูปไปเรื่อย” ผมคิดไม่ทันไร ฝนเริ่มลงเม็ดเบาๆ ผมฝืนทนอยู่บนยอดเขาสักพัก ต้องรีบเก็บกล้องเพราะฝนเริ่มลงเม็ดหนาขึ้น ดูนาฬิกา อีก 5 นาทีบ่ายสองแล้ว ไม่ได้การแล้ว ต้องรีบไปรับคุณกลุ่มคุณนู๋ญิงในเมืองก่อน
มีคำเตือนว่า หากฝนตกหนักให้รีบกลับมาที่ถนนด้านบน เพราะพื้นด้านล่างอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ดังนั้น ผมลงจากยอดเขาด้วยสภาพกึ่งวิ่ง กึ่งเดิน แต่ทำไมระยะทางจาก Glacier มาที่ถนนดูจะไกลเหลือเกิน เดินเท่าไร ก็ยังไม่ถึงสักที่ น้ำตกที่เราเดินผ่านมาครั้งแรกดูใกล้ ตอนกลับก็ยังไม่ถึงสักที่ ผมหันหลังไปดู กลัวมีน้ำป่าหลากลงมาจะหนีไม่ทัน ต้องวิ่ง วิ่ง วิ่ง จนกระทั้งขึ้นมาบนถนนได้ ผมยืนหอบดูนาฬิกาเกินเวลานัดมา 25 นาทีแล้ว ไม่การแล้วออกรถเลย ที่จอดรถนักท่องเที่ยวเริ่มบางตา น่าจะเป็นเพราะแดดไม่มีแล้วแถมฝนลงอีก

ผมผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ Waiho ขึ้นพ้นเนิน เริ่มหนาวถึงสันหลัง เมื่อเห็นรถตำรวจสีขาวคาดส้ม เขียว จอดอยู่ด้านขวามือหลังป้ายกำหนดความเร็ว 50 กม/ชม ผมแทบหยุดหายใจรีบชะลอรถขับช้าๆไปยังเป้าหมาย ปั๊มน้ำมันแห่งเดียวของเมืองเพื่อรอรับกลุ่มคุณนู๋ญิง ผมจอดรถเดินหากลุ่มคุณนู๋ญิงอยู่นานก็ไม่เจอ แต่ก็อุ่นใจอย่างมีกระเป๋าเสื้อผ้าของแต่ละคนเป็นประกัน พวกนี้ไม่กล้าทิ้งผมแน่นอน
สักพักเห็นคุณนู๋ญิงเดินยิ้มออกมาบอกว่าพึ่งเสร็จจากการจ่ายเงินค่าทัวร์ ยังไม่ได้กินข้าวเลย คิดแล้วก็เห็นใจ ไม่ได้ขึ้นเครื่อง Helicopter แถมยังต้องเดินขึ้นเขาเองอีก อาหารกลางวันก็ยังไม่ได้กิน ผมก็เลยให้กลุ่มคุณนู๋ญิงซื้ออาหารแล้วทานในรถ สำหรับรอบบ่าย ผมขับรถบริการให้เอง
กว่าจะถึง Wanaka
ผมตั้งพิกัดเป้าหมาย 180 wanaka คือที่พัก ลืมบอกไปว่า ผมใช้เลขที่พัก 180 เป็นตัวตั้งสถานที่ใน GPS ซึ่งตรงกับแผนที่ Google ที่คุณนู๋ญิงที่เตรียมมา พร้อมตั้งจุดแวะ Fox Glacierบรรยากาศเริ่มมีฝนตกเป็นระยะ แต่โชคดีที่ฝนไม่ตกหนักมาก จึงทำให้พอเห็นถนนได้ชัดเจน เราผ่านทางเข้า ทะเลสาบ Matheson เข้าเมือง Fox ซึ่งเขาว่าเป็นเมืองคู่แฝดของ Franz Josef Glacier แต่ผมว่า Fox เล็กกว่านะ พูดถึงสะพานเอื้ออาทร ในนิวซีแลนด์ไม่ใช่มีแค่สะพานเดียวแต่มีหลายสะพานมากๆ ตอนแรกผมก็สงสัยว่าทำไม นิวซีแลนด์ก็เป็นประเทศที่เศรษฐกิจดีกว่าไทย ทำไมสะพานเมืองไทยมีตั้ง 4 เลน ขนาดเขาใหญ่ของไทยยังจะทำเพิ่ม 4 เลนเลย ถนนที่นี้ส่วนมาก 2 เลน ถ้าเจอสะพานยาวๆ ต้องมีสัญญาไฟแดงอีก ผมก็หาเกมส์ให้สมาชิก ตั้งสมมติฐานว่าทำไมที่สะพานถึงมีแค่เลนเดียว
บางคนบอกว่า ที่นี้เจอภัยพิบัติบ่อยครั้ง ไม่ว่าน้ำท่วมหรือ หิมะถล่ม จะได้ไม่เสียค่าซ่อมมาก...มีเหตุผลแต่ผิด
บางคนบอกว่า คนขับรถจะได้ไม่ขับรถเร็ว ช่วยป้องกันอุบัติเหตุด้วย….มีเหตุผลมาแต่ยังไม่ใช่
แต่ผมเฉลย สะพานเอื้ออาทร ช่วยเพิ่มรสชาติความตื่นเต้น ให้คนได้ ลุ้น ลุ้น ว่าใครจะถึงสะพานก่อนกัน

มั่วแต่เล่นเกมส์จนเกือบเลยแยกทางเข้า Fox Glacier โชคดีที่รถไม่ค่อยเยอะ ทำให้จอดรถแล้วถอยกลับมาได้ ถนนเข้า Fox Glacier ทำค่อนข้างดี เราสวนกับรถนักท่องเที่ยวที่ทยอยออกมาก เราเจอป้ายข้างถนนบอกว่า จุดนี้เคยมี Glacier ยาวถึงจุดนี้ ยิ่งระยะเวลาใกล้ปัจจุบันเรื่อย ป้ายบอกระยะก็เริ่มร่นเรื่อยๆ จนกระทั้งเราถึงทางลูกรังที่เหมือนพึ่งทำขึ้น จนคิดว่าหากถึงช่วงน้ำหลากสงสัยถนนลูกรังคงมีปัญหาแน่ๆ

ถึงที่จอดรถฝนก็ตกมาแต่ไม่หนาเม็ดมากนัก ใครไม่ลงก็รอกันที่รถแล้วกัน ผมคว้าเสื้อกันฝนสวมแล้วเดินลุยทันที่ Fox Glacier ก็มีทัวร์เหมือนกับที่ Franz Josef มีลูกทัวร์เดินกันเป็นกลุ่ม วันนี้เรามาถึงน้ำตาอีกข้างของแม่นาง Hine Hukatrer สายฝนเริ่มลงมาหนาเม็ด คนทิ่เริ่มสะอื้นน่าจะเป็นผมแล้ว เพราะกลับมาหลายภาพ ทั้งฟ้าเน่าและมีหยดน้ำเกาะหน้าเลนส์ ทำให้ต้องเลิกล้มความตั้งใจที่จะเดินลุยไปถึงธาร Glacier คงสู้ฝนไม่ไหวแล้ว ฝนเริ่มลงเม็ดหนาขึ้น รองเท้าที่อุตสาห์หอบหิ้วมาจากเมืองไทย พื้นยางรองเท้าเริ่มหลุดลอกออกมา จนเป็นอุปสรรค์การเดิน จนผมต้องฉีกพื้นยางออก มาถึงที่รถรีบเปิดประตู แทบผละหงะ กลิ่นมาม่าและอาหารนานาชนิด ส่งกลิ่นอบอวนไปทั่วคัน จนผมต้องเปิดหน้าต่างก่อนขับรถ

ผมตั้งเป้าหมายอีกครั้ง 180 Wanaka ตอนนี้เวลาสี่โมงเย็นแล้ว คำนวณเวลาเราน่าจะไปถึงที่พักประมาณไม่เกินทุ่มครึ่ง เรามีประสบการณ์ Office Hour จากโรงแรมที่ผ่านมา เลยแนะนำคุณนู๋ญิงให้โทรศัพท์ยืนยันที่พักกับโรงแรมก่อน ว่าไปแน่ เดียวไปถึงเขาปิด Office ไม่มีที่พักอีก ชายน้อยควัก BB รุ่นล่าสุดออกมา แล้วบอกว่าไม่มีสัญญาณ
“เอามาทำไมก็ไม่รู้” ผมแอบนินทาในใจ “อย่างนั้นก็เปลี่ยนแผนว่าเจอ i-site ที่ไหน ก็แวะขอโทรศัพท์แจ้งโรงแรมก็ได้” คุณนู๋ญิงเสนอ แต่พวกเราลืมไปว่า i-site ไม่ใช่เซเวนส์ ไม่ได้เปิด 24 ชม

ระว่างทางจาก Fox Glacier ไป Wanna ต้องผ่าน Hasst บางช่วงถนนเลียบผ่านชายทะเลBruce Bay เสียดาย ฝนตกตลอดทาง เราเห็นกลุ่มกองหินข้างถนนด้านฝั่งติดทะเล มีคนนำมาเรียงกัน ทั้งก้อนหินและกระดาษ เขียนข้อความเป็นเรียงรายตลอดชายหาดฝั่ง เสียดายมากถ้ามีสภาพแสงสวยๆ คงได้รูปงามๆหลายรูป ผมกางร่มฝ่าสายฝนออกไปถ่ายรูปนอกรถ กลับมาที่รถว่าจะบอกคุณนู๋ญิงกับชายน้อย (ตอนนี้ผมเริ่มเดาแล้วทั้งสองคนน่าจะเป็นแฟนกัน) ไม่สนใจไปเขียนอะไรเป็นที่ระลึกบ้างเหรอ อ้าว นั่งหลับกันหมดเลย ไม่เป็นไร แกคงเพลียที่เดินขึ้นเขาแน่ๆ ว่าแล้วผมก็ขับรถต่อไปตามลำพัง

ป้าย Knights Point Lookout ผมเลี้ยวรถเข้าทันที่ ช่วงผมขับรถ ถ้าเจอคำว่า Lookout ผมเป็นต้องจอดทุกป้ายเลย มันต้องมีอะไรดีๆ แน่จึงต้อง Lookout (เพราะป้ายนี้ทำให้เกิด case ที่Queenstown โปรดติดตามตอนต่อไป) เนื่องจากฝนตกผมเริ่มเปลี่ยน Style การเที่ยว แทนที่จะจอดรถแล้วเดินลงไปถ่ายรูป ก็นั่งถ่ายรูปบนรถเลย
Knights Point ทำเป็นศาลาอย่างดี ผมจอดรถเทียบหน้าศาลาก็กระโดดลงจะได้ไม่โดยฝน วิวเป็นชายทะเล เหมือนฉากหลังเรื่อง Piano เลย สภาพแสงเริ่มมืดแล้ว
มีลุ้นตลอดทาง

6.30 น. ตอนนี้บรรยากาศเริ่มมืดและมีฝนตกตลอด เราใช้ทางหลวงหมายเลข 6 ถึงเมืองHasst เลี้ยวเข้าตัวเมืองเพื่อหา i-site เจอแล้ว หน้าที่สอบถามคือคนภาษาดีที่สุดต้องคุณนู๋ญิง ลงไปกดกริ่งด้านหน้า แต่ไร้เสียงตอบรับทั้งที่ไฟด้านใน i-site ยังเปิดอยู่ แต่เมื่อคุณนู๋ญิงเดินกลับมาที่รถมีไฟสปอร์ตไลท์จากอาคารส่องลงมาที่คุณนู๋ญิง ทำให้เราคิดว่ายังมีเจ้าหน้าที่อยู่ จึงส่งสัญญาณให้คุณนู๋เดินกลับไปอีกครั้ง แต่เมื่อเดินไปถึงที่หน้าประตูไฟก็ดับลง คุณนู๋ญิงทำเกือบ4 ครั้ง ผลก็เหมือนเดิม จนเรารู้ว่าน่าจะเป็นระบบป้องกันภัยของที่นี้
เปลี่ยนแผนใหม่ไปหา Motel ที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อขอยืมโทรศัพท์ เจ้าของ Motel ถามว่า ตอนนี้ค่ำแล้ว จะไปที่ไหน พอบอกว่าไป Wanaka เพียงเท่านั้น แกก็บอกว่า ทางอันตรายมากในการขับรถยามค่ำคืน ฝนน่าจะตกตลอดทั้งคืน อย่าเดินทางเลย พักที่นี้ดีกว่า “เออไม่ได้ครับ เพราะเราเสียงเงินค่าที่พักไปแล้วคืนละ 800 NZ แล้วต้องไป” นั้นคือเหตุผลที่เราไม่ได้บอกเจ้าของ Motel หลังจากที่โทรติดต่อที่พัก 180 Wanaka เรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางทันที่

รถเข้าเขตอุทยาน Mount Aspiring สภาพถนนเริ่มเปลี่ยนจากเขตชายฝั่งทะเลเป็นป่า ท่ามกลางฝนตกตลอดเวลา บรรยากาศเริ่มมืดและยิ่งวังเวง ไม่มีรถวิ่งบนถนนเลย ทางเริ่มคดเคี้ยวตลอด สองข้างทางมืดทั้งสองด้าน การขึ้นเขาลงเขาและเข้าโค้ง ผมไม่ใช้วิธีเหยียบเบรกจนไหม้เหมือนอย่างที่ชายน้อยทำ นอกจากผ้าเบรกไหม้แล้ว อาจทำให้ผ้าเบรกหมดจนรถเบรกไม่อยู่ เกิดอุบัติเหตุได้ ผมใช้วิธีทดเกียร์แทน แต่รู้สึกชายน้อยไม่เชื่อ แอบกระซิบนินทากับคุณนู๋ญิงจนได้ยินว่า “ขับรถกันแบบนี้เหรอ ไม่เคยเจอ”
พูดถึง Card โทรศัพท์ ตอนที่ผมไปถึง Christchurch ก็พยายามหาวิธีว่าโทรกลับเมืองไทย ด้วยการ์ดอะไรดี ผมไปที่ซุปเปอร์แถวจัตุรัสไปหาซื้อ ทำไงดีมีตั้งหลายยี่ห้อ ให้คนขายอธิบาย สรุป ไม่รู้เรื่องครับ ผมเลยมาจบที่การ์ดของ Yabba เป็นการ์ดที่ดีมากครับ ผมซื้อมา 5 NZ โทรกลับเมืองไทยทุกวัน ยังเหลือเลยครับ เขาคิดนาทีละ 15 c วิธีใช้ง่ายมากครับ เขาจะมีเบอร์กลางเป็นเบอร์ฟรี ไม่เสียตังค์ไปโทรที่ตู้สาธารณะก็ได้นะครับ หยอดเหรียญแล้วคืนเมื่อโทรเสร็จ เมื่อนผ่านเบอร์กลางก็กด PinCode เลยครับ แล้วจะมีเสียงแจ้งเครดิตว่าเหลือเท่าไร โทรได้กี่นาที ว่าแล้วคุณก็โทรไปตามเป้าหมายเลย แต่ข้อเสียคือ ต้องโทรที่เมืองใหญ่ๆ เช่น Christchurch, Queenstown เป็นต้น แต่ถ้าไปเมืองที่ไม่มีเบอร์กลางฟรีก็ต้องเสียสองต่อครับ ต่อครับ แต่อย่างไรก็แนะนำให้ใช้ครับ http://www.yabba.co.nz/
ผู้โดยสารบนรถ อยู่อาการเงียบกันทุกคน ผมอดสงสัยจึงถามได้ความว่า กลุ่มคุณนู๋ญิงไม่เคยเดินทางเวลากลางคืน ประกอบเส้นทางคดเคี้ยว ทำให้หลายคนเริ่มเกร็ง ทำให้ผมได้รู้ว่าชายน้อยไม่ใช่กลัวความสูงอย่างเดียวแล้วแกกลัวความมืด กลัวที่แคบ ถึงว่าเลยเงียบเสียงไปนึกว่าหลับ แต่แล้วผมก็เรียกเสียง เฮ้ๆๆๆๆ จากคนในรถได้ทั้งคัน เมื่อมีกวางตัวผู้ตัวใหญ่วิ่งตัดหน้ารถอย่างกระชันชิด
ขณะนี้ทุกคน Alert กันสุดๆ บางครั้งกระต่ายป่าตัวสีน้ำตาลเข้มก็วิ่งข้ามถนน จนผมต้องหักรถหลบท่ามกลางสายฝน สภาพที่ลมฝนเริ่มแรงพัดรถจนรู้สึกได้ มีท่อนไม้ขนาดเท่ากับสุนัขตัวหนึ่ง ถูกลมพัดตกอยู่กลางถนน ผมหักหลบซ้ายขวาจนผู้โดยสารหัวแกว่งไปมา ถึงว่าการขับรถในเวลากลางคืนที่นิวซีแลนด์เป็นอย่างนี้เอง ถึงว่าเจ้าของ Motel ถึงไม่อยากให้ขับรถเวลากลางคืน รู้สึกหลายคนคงจะกังวลเรื่องการเดินทาง ผมต้องหาสิ่งอื่นมาให้คลายกังวลแทนซะแล้ว การขับรถแบบถดเกียร์ มีข้อเสียคือเปลื้องน้ำมัน เราผ่านสถานที่หลายแห่งมีอะไรก็ไม่รู้เพราะมันมืด แต่สิ่งที่ผมอยากรู้ว่าเมื่อไรจะถึงปั๊มน้ำมันสักที่
“น้ำมันเตือนแล้ว” ผมชี้ให้ทุกคนดูไฟเตือนที่หน้าปัด ไฟสีส้มแดง วาบ วาบ เหลือระยะทางอีก 20 กิโลเมตร ตามที่ GPS บอก “เราจะรอดไหม ไม่มีรถบนถนนเลย” ผมพูดเพราะไม่อยากเครียดคนเดียวต้องแบ่งให้สมาชิกบ้าง สองข้างทางมืด ผมดูใน GPS ระบุว่าด้านซ้ายมือเป็นทะเลสาบ ทะเลสาบ Hawea หลงดีใจนึกว่าเป็นทะเลสาบ Wanaka ซะอีก เห็นแสงไฟอยู่ปลายทางไกลลิบๆ นึกดีใจคิดว่าเป็นเมือง Wanaka แต่เมื่อข้ามสะพานแล้วความดีใจแทบสลายเมื่อกลาย เป็นเมือง Albert town ตอนนี้ผมเลิกคิดถึงที่พักแล้ว แต่คิดถึงปั๊มน้ำมัน สองทุ่มแล้ว หน้าปัดเปลี่ยนจากสีส้มเป็นสีแดงเข็ม สักพักเห็นปั๊มน้ำมันเปิดไฟสว่างด้านหน้า ไชโย ไชโย เราเจอปั๊มแล้ว ผมรีบขับรถเข้าปั๊มทันที่….ความหวังเริ่มแห้วริบรี่เป็นครั้งที่สองแล้ววันนี้เป็นวันอะไร …ไม่มีใครอยู่ที่ปั๊มน้ำมันเลย หัวจ่ายน้ำมันถูกล๊อกกุญแจ ใน GPS บอกว่าไม่เกิน 5 กิโลเมตรจะถึงที่พักเราแล้ว ดูเหมือนน่าจะทดแทนความกังวลเรื่องน้ำมันได้.....
Wanaka Resort ไฮโซสุด สุด

เราถึงจุดหมาย ด้านซ้ายเขาบอกว่า Puzzle World เอาแผนที่ที่คุณนู๋ญิง หาจาก Goggle Map 180Wanaka น่าอยู่ตรงข้ามกัน ตอนนี้ทั้งสองฝั่งมืดมองไม่เห็นอะไรเลย ที่นิวซีแลนด์เขาประหยัดไฟมาก ไฟถนนก็ไม่มี บริเวณนี้ ผมมาตอนเช้าถึงได้รู้ว่าเป็นป่าล้วนๆ หลายคนเริ่มมีความกังวล ประสมกันไปไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องน้ำมันใกล้จะหมด ที่พักหาไม่เจอ แล้ว wanaka มันอยู่ไกลไหม…. ผมเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ เอาปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุด ผมเลือกปั๊ม Shell เพราะน่าจะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ระหว่างทางที่เราขับรถไปปั๊มน้ำมัน มีจักรยานคันหนึ่งกำลังขึ้นเขา เรากำลังเปิดกระจกถามว่าตัวเมืองอยู่อีกไกลไหม แต่ดูอาการแล้ว อย่าถามเลย เพราะคนขี่จักรยานท่าทางคงจะเหนื่อยขี่จักรยานขึ้นเขา และแล้วเราก็ไปถึงปั๊มน้ำมัน คุณนู๋ญิงถามทางไปทีพักกับพนักงานที่ปั๊มน้ำมัน สักพักนักขี่จักรยานที่เราผ่านมาก็มาถึงปั๊ม แปลกมากจักรยานที่นี้เติมน้ำมัน ไม่ใช่ครับ ที่แปลกคือเขาทักทายเราเป็นภาษาไทย แต่ได้คำเดียว “สวัสดีครับ”

ซึ่งแต่ละคนไม่สามารถแนะนำทางได้ จนผมนึกได้ว่า “ทำไมไม่โทรไปถามที่อยู่กับที่พักหละ”จึงได้ข้อสรุปว่า ผมต้องขับรถเข้าตัวเมือง Wanaka ต้องเลี้ยวขวาเลียบทะเลสาบก่อนเข้าตัวเมือง ขับรถผ่านไปประมาณ 4 ซอย แล้วถึง ผมเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรงแรมหรือ Motel อย่างที่คิด กลับกลายเป็นบ้านที่แบ่งให้เช่าค้างคืน น่าจะเป็น Hostel มากกว่า
3 ทุ่มครึ่ง คือเวลาที่เราถึงที่พัก ดูแล้วน่าจะเป็นบ้านเศรษฐีขี้เหงามากกว่า ครอบครัวคนที่นี้ส่วนใหญ่อยู่กันแค่สองคนตายาย ส่วนลูกก็แยกย้ายกันออกไป คุณลุงแกคงอยากหาเพื่อนคุยเลยแบ่งห้องในบ้านให้เช่า คุณลุงแปลกใจที่เราเป็นคนไทยกลุ่มแรกที่มาพักที่นี่ ซึ่งปกติจะมีแต่ญี่ปุ่นและเกาหลีมาพักเป็นส่วนใหญ่ ทั้งที่พักตั้งราคาไว้แพงมากเลย ห้องพักคืนละ 400 NZ แถมยาจกอย่างเราจองตั้ง 2 ห้อง คุณลุงคงกลัวเราหนีเลยเปิดห้องเก็บรถให้เราเอารถไปจอด สักพักคุณลุงเชิญเราขึ้นไปชั้นสองของบ้าน
“ว้าวววววว” ผมอุทาน บ้านคุณลุงปูพรมสีน้ำตาลอ่อน ดูชีวิตผมตอนนี้ เป็นไฮโซอย่างไม่มีคำตอบ ห้องรับแขกมีเตาพิงซึ่งติดไฟอยู่ ทีวีพลาม่าจอแบนติดบนผนังห้องเปิดรายการกีฬา โซฟาน่านั่งแต่ผมว่าน่านอนมากกว่า ติดกับห้องรับแขกมีห้องครัว คุณลุงเตรียมอาหารว่างให้เราเป็น ขนมปังหน้าปลาแซลมอน ผมลองท้องไป 5-8 ชิ้น ตามด้วยน้ำชายี่ห้ออะไรไม่รู้ ซองสีฟ้า หอมดี คุณลุงคุยให้ฟังว่า ระเบียงด้านบน มีสระว่ายน้ำและที่นั่งทานอาหารเย็น จะเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด
“โอ้ยยยย แม่เจ้าสวยจริงๆ สวยแบบมืดไปหมดทุกด้าน” ผมคิด “แสดงว่าที่แพง คงเพราะวิวกับเตาพิงละมั้งเนี่ย”
ตอนนี้ฝนยังไม่มีท่าที่จะหยุด
“พรุ่งนี้นอนเต็มที่นะคะ เราจะออกจาก Wanaka สายแล้วจะไปเที่ยวต่อที่ Arrow town ไปดูใบไม้เปลี่ยนสีกัน”
คุณนู๋ญิงพูดก่อนเดินเข้าห้องนอน
“ช่ายจะรีบตื่นทำไม เสียเงินไปตั้ง200 NZ ขอนอนนานๆก็แล้วกัน” ผมคิด แต่ถ้าเรานอนหลับตาก็ขาดทุน ต้อนนอนลืมตาซิ ว่าแล้วเปิดอุปกรณ์ในห้องนานาชนิด(ที่เปิดได้และเปิดเป็น) ก่อนที่จะนั่งหลับบนเตียงนอนไปแบบไม่รู้ตัว….
.................เสียดายจัง ไม่น่ารีบหลับเลยเรา ขาดทุนแบบไม่รู้ตัว...........

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น