วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553


ท่านพุทธทาสปิดท้าย “ธรรมะกับการเมือง” ด้วยคำกล่าวว่า “ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็มานั่งพูดกันอย่างนี้แหละ พูดอย่างอื่นพูดไม่เป็น

คำบรรยายและหนังสือ “ธรรมะกับการเมือง” ของพุทธทาสภิกขุ นับเป็นผลงานที่เชื่อมโยง “การเมือง” (ตามที่เข้าใจกันในโลกสมัยใหม่) ให้เข้าสู่หลักธรรม อย่างกว้างขวางครอบคลุม และลงรายละเอียดมากที่สุดของท่านพุทธทาส
ทั้งยังอาจกล่าวได้ว่า “ธรรมะกับการเมือง” เป็นการนำเสนอความคิดความเข้าใจและวิถีปฏิบัติทางการเมืองในโลกสมัยใหม่ อย่างตรงไปตรงมาและกว้างขวางที่สุด เท่าที่เคยปรากฏในจารีตพระพุทธศาสนาสายเถรวาท อย่างน้อยที่สุดก็ในสังคมไท
คำบรรยายนี้ ท่านพุทธทาสแสดงในช่วงพรรษากาลเมื่อปี 2519 และตีพิมพ์ออกเป็นหนังสือในชุดธรรมโฆษณ์เมื่อปลายปี 2522 หากนับเวลาตั้งแต่การแสดงธรรมบรรยายนี้ ก็กว่าสามสิบปีมาแล้ว แต่เราคงจะเห็นได้ชัดว่า ประเด็นที่ท่านนำเสนอไว้นั้น ยังโยงเข้าสู่ยุคสมัยปัจจุบันได้เป็นอย่างดี หลายต่อหลายประเด็น ท่านสามารถ “มองการณ์ไกล” มาถึงปัญหาและสภาพการณ์ที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน และบางกรณียังก้าวล้ำไปสู่อนาคตข้างหน้าอีกด้วย
นับแต่ 27 พฤษภาคม 2549 ถึงปี 2550 นี้ เราเฉลิมฉลอง 100 ปี ชาตกาลของท่าน ร่วมกับการที่องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ประกาศยกย่องท่านเป็นหนึ่งใน “บุคคลสำคัญของโลก”
แน่นอนว่า การเฉลิมฉลองและยกย่องนี้นับว่าสมควรอย่างยิ่งแก่คุณูปการมหาศาล ที่ท่านได้มอบไว้ให้แก่สังคมไทยและโลก แต่เราจะสามารถได้รับประโยชน์จากคุณูปการนี้มากน้อยเพียงใด คงเป็นเรื่องที่ไม่ได้เริ่มต้นแล้วจบลงอยู่เพียงแค่งานเฉลิมฉลองยกย่องนี้
สัญญาณแห่ง “บุคคลสำคัญของโลก” นั้นอยู่ที่ว่า ท่านนั้นๆ ได้สร้างสรรค์หรือฟื้นฟู “พื้นที่” ทางความคิดและวิถีปฏิบัติอันทรงคุณค่าให้แก่มนุษยชาติ รวมทั้งวางรากฐานเชิงโครงสร้างหรือแนวทางหลักๆ ให้แก่พื้นที่ดังกล่าว เพื่อที่ว่าผู้คนเป็นอันมากจะได้มีโอกาสและความสามารถในการสร้างสรรค์คุณค่า สืบทอดในพื้นที่นั้นๆ ต่อไป หรือแม้กระทั่งใช้พื้นที่นั้น นำไปสู่การเปิดพื้นที่อื่นๆ ให้กว้างขวางหรือลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“พื้นที่” ซึ่งท่านพุทธทาสได้สร้างสรรค์และฟื้นฟูขึ้นมาตลอดชีวิตของท่านนั้น มีมากมาย และล้วนทรงคุณค่าอย่างสูง ความคิดของท่านเกี่ยวกับ “ธรรมะและการเมือง” ซึ่งตกผลึกเป็นหลักการว่าด้วย “ธัมมิกสังคมนิยม” นับเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ว่านี้
ผมขอย้อนกลับไปที่ประเด็นหลักๆ นับแต่ต้น
ในประเด็นเรื่องท่าทีต่อการเมือง ท่านทำให้เราตระหนักว่า การเมืองเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับทุกๆคน และแท้ที่จริงมนุษย์ทุกคนล้วนเป็น “นักการเมืองโดยความรู้สึก” ทั้งนี้เพราะการเมืองคือความพยายามร่วมกันของมนุษย์ ที่จะขจัดปัญหาในการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่มาก เพื่อให้เกิดความเป็นปกตินั่นเอง และในเมื่อความเป็นปกติ คือแก่นสารของศีลธรรมในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ท่าทีต่อการเมืองของเรา จึงไม่ต่างอะไรจากท่าทีของเราต่อศีลธรรมเช่นกัน
ท่านยังเน้นว่า ในการพิจารณาประเด็นปัญหาทางการเมือง เราจะต้องข้ามพ้นวิธีคิดพิจารณา ชนิดที่กดทับไม่ให้เรามองเห็นความเป็นไปได้อื่นๆ เน้นเพียงแค่สิ่งที่เข้าใจกันว่าเป็น “ภาวะจำเป็น” ที่ทำให้เราต้องทิ้งธรรมะ กระทำได้แต่เพียงการใช้อำนาจดิบอำนาจเถื่อน ไม่อาจมีความหวังในเชิงคุณค่าอื่นใดได้ ที่ร้ายไปกว่านั้น ก็คือ ในที่สุดแล้ว สิ่งที่เคยถือกันว่าเป็นความจำเป็น กลับกลายเป็นสิ่งที่ถือกันว่าดีงามไปเสียอีก
ท่านจึงเรียกร้องให้เรา “โงหัวให้ขึ้น” จากวิธีคิดพิจารณาชนิดนั้น และใช้ “อิสรภาพในการใช้สติปัญญา” เพื่อศึกษา วินิจฉัยไตร่ตรอง เลือกเฟ้น และกำหนดเป็นวิถีปฏิบัติ อย่างสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของเรา แต่ก็ไม่ละเลยประเด็นในเรื่องความถูกต้องดีงาม การอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติสุข และความหวังที่จะบรรลุสิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้น
ในประเด็นเรื่องความหมายและความเป็นมาของการเมือง ท่านชี้ให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของการเมือง เมื่อมนุษย์เริ่มให้ความสำคัญกับ “การสะสมส่วนเกิน” จนเกิดปัญหา ขยายเป็นเรื่องของ “ผลประโยชน์” ที่ต้องเพิ่มส่วนเกิน และบังคับให้ต้องติดต่อสัมพันธ์กันมากขึ้นๆ ระดับโลก จนในที่สุดระบบการสะสมส่วนเกินนี้ กลับกลายเป็นเป้าหมายและแรงผลักดันของการเมืองทุกชนิด
นี่คือบ่อเกิดของการเมืองประเภท “สกปรก” “กอบโกย” “ผลัดกันคุมทีมเข้ามาหาลาภลอยชั้นเลิศ” ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในนามของ “ประชาธิปไตย” แบบที่เน้นตัวใครตัวมัน มือใครยาวสาวเอา
แท้ที่จริง “การเมือง” ควรจะเป็นสิ่งที่ต้านทานกระแสการสะสมส่วนเกิน และผลลัพธ์อันเลวร้ายของมันเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น ตามความเข้าใจของท่าน การเมืองจึงเป็น “การจัดระบบและวิถีการกระทำร่วมกันของมนุษย์ เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างปราศจากปัญหา โดยไม่ต้องใช้อาชญาหรือความรุนแรง”
หากเราเข้าใจและจัดระบบการเมืองตามแนวทางดังกล่าวนี้ได้ ก็ย่อมจะเป็นการเมืองที่ตรงตามความมุ่งหมายที่แท้จริง และทำให้การเมืองเป็นส่วนหนึ่งของ “ธรรม” สอดคล้องกับสิ่งทั้งหลายตามธรรมชาติ เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ถูกต้องตามหน้าที่แห่งธรรม และนำมาซึ่งผลอันเป็นธรรมเช่นกัน
ในประเด็นว่าด้วยข้อเสนอต่อระบบและองค์ประกอบของการเมือง ท่านพุทธทาสแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ในการวิพากษ์วิจารณ์ “ประชาธิปไตย” ชนิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “เอกัตตนิยม” หรือ “ปัจเจกนิยม” และคำวิจารณ์ของท่าน ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ท่านมองเห็นพื้นฐานของ “ทุนนิยม” สุดโต่งควบคู่อยู่กับประชาธิปไตยแบบนี้ ทั้งยังเห็นว่า “อำนาจครอบงำ” ของทุน และนายทุนผูกขาดนั่นเอง ที่เป็นต้นตอของปัญหาของประชาธิปไตยในปัจจุบัน
ท่านจึงมีจุดยืนชัดเจนว่า ระบบการเมืองที่สอดคล้องกับธรรมะนั้น จะต้องมีพื้นฐานอยู่บนหลักการสังคมนิยม หากแต่จะต้องเป็นสังคมนิยมที่กอปรด้วยธรรมะ มิใช่สังคมชนิดที่ “ทำลายนายทุน” ด้วย “ไฟอาฆาต” เป็นสังคมนิยมที่ทำให้ “ได้เสรีภาพที่ไม่ควรได้ สูญเสียเสรีภาพที่ไม่ควรสูญเสีย” และในที่สุดแล้ว ก็หันไปหาแนวทางวัตถุนิยมสะสมส่วนเกินอยู่ดี
ระบบการเมืองที่ท่านเสนอ จึงเรียกว่า “ธัมมิกสังคมนิยม” หรือ “ธรรมิกสังคมนิยม” หรือหากจะยังต้องการรักษาจิตวิญญาณของประชาธิปไตยไว้ ท่านก็เสนอให้เรียกว่า “ธัมมิกประชาธิปไตยโดยสังคมนิยม” โดยที่ความหมายของ “สังคมนิยม” นั้น ก็คือ การที่จะต้องมีวิธีการอันเป็น “เผด็จการโดยธรรม” ควบคุมมิให้เกิดภาวะมือใครยาวสาวเอา หรือตัวใครตัวมัน เสรีภาพของใครของมัน แบบที่นิยมกันตามความหมายของ “ประชาธิปไตย”
ท่านเองตระหนักดีว่า ข้อวิจารณ์และข้อเสนอในเรื่องนี้ ย่อมขัดต่อ “ความรู้สึก” หรือ “ทัศนะพื้นฐาน” ทางการเมืองของโลกปัจจุบัน แต่ท่านก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า วิถีทางที่เน้นผลประโยชน์ เสรีภาพ และความเสมอภาค แบบปัจเจกนิยมนั้น ไม่ใช่หนทางที่จะนำสังคมมนุษย์ไปสู่ความเป็นปกติ สอดคล้องกับหลักการทางศีลธรรมใดๆ ได้
ระบบธัมมิกสังคมนิยมดังกล่าว มีองค์ประกอบที่สำคัญๆ มากมาย ท่านได้หยิบยกมานำเสนอโดยละเอียดอยู่เจ็ดประการ ข้อเสนอของท่านทำให้เราเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า ท่านพุทธทาสหมายถึงความคิดและแนวทางในการปฏิบัติอย่างไร เมื่อท่านกล่าวถึง “สังคมนิยม”
ท่านเน้นความสำคัญของมหาชน (แต่เราก็เห็นได้โดยตลอดว่า ท่านก็มิได้เชื่อว่า มหาชนจะต้องถูกต้องเสมอไป) การถือครองกรรมสิทธิ์ที่เป็นเสมือนการ “ให้ยืม” เพื่อสร้างประโยชน์ มีการจัดสรรที่ดินอย่างทั่วถึงเป็นธรรม มีการดำเนินการแบบสหกรณ์ในทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม มีระบบ “คอมมูน” ที่เป็นแนวทางแก้ปัญหาอย่างสอดคล้องกับแต่ละท้องถิ่น เป็นสังคมที่มีความเป็นวินัย และมีระบบคุณค่าหรือค่านิยมที่สอดคล้องกับศาสนธรรม
นอกจากนี้ ท่านยังเห็นว่า ทิศทางของความรู้และวิทยาการของโลกสมัยใหม่ กำลังนำพามนุษย์ออกสู่การอยู่ร่วมอย่างสมดุลกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เราจึงต้องการแนวทางใหม่ของความรู้และวิทยาการ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาพื้นฐานของมนุษย์ได้ อย่าง “เป็นเกลอกับธรรมชาติ” และรู้จัก “สงสารคนข้างหลัง” เน้นความพอดีและความประหยัดในการใช้ชีวิตส่วนตัวและส่วนรวม
ผมเห็นว่า พื้นที่ของ “ธรรมะกับการเมือง” ที่ท่านพุทธทาสได้แสดงให้เห็นนี้ เป็นพื้นที่ที่ยังคง “อยู่ในประเด็น” ร่วมสมัยเป็นอย่างยิ่ง และนอกเหนือจากสิ่งที่ผมได้ประมวลมานำเสนอในที่นี้แล้ว ผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ ก็ย่อมจะเห็นประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย ตามมุมมองและความสนใจของตนเอง
ท่านพุทธทาสปิดท้าย “ธรรมะกับการเมือง” ด้วยคำกล่าวว่า “ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็มานั่งพูดกันอย่างนี้แหละ พูดอย่างอื่นพูดไม่เป็น ต่อไปอีก”....สามสิบปีผ่านไป การได้ฟังท่าน “พูดอย่างนี้แหละ” อีกครั้ง ยังให้ประโยชน์ไม่เสื่อมคลาย และทำให้ดูเหมือนว่าท่าน “ยังมีชีวิตอยู่” เช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น: