วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คติ นำมาจากพระอาจารย์เดี่ยว วัดไชยมงคล USA
http://www.watchaimongkolusa.org/

ข้อปฏิบัติเมื่อมีการสนทนาธรรม


๑. มีศีลธรรม คือการเป็นผู้ที่รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ เป็นนิจศีลอยู่แล้ว การเป็นผู้ปฏิบัติถือเป็นหน้าที่ขั้นต้นในการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
๒. มีสมาธิดี คือการมีจิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่สนทนา ไม่ว่อกแวก พร้อมทั้งเป็นผู้ที่หมั่นเจริญสมาธิภาวนาด้วย
๓. แต่งการสุภาพ คือการแต่งตัวให้เหมาะสมกับยุคสมัย อยู่ในกรอบประเพณีของสังคมแวดล้อม ณ ที่นั้นๆ ถูกกาลเทศะ
๔. มีกิริยาสุภาพ คือมีความสุภาพในท่วงท่าไม่ว่าจะเดิน นั่ง ยืน หรือการกระทำใดๆ การที่มีกิริยางดงาม สุภาพย่อมโน้มน้าวจิดใจผู้พบเห็นให้เกิด
ความประทับใจที่ดี
๕. ใช้วาจาสุภาพ คือการใช้ถ้อยคำที่สุภาพในการสนทนา ไม่ใช้คำหยาบคาย หรือก้าวร้าว
๖. ไม่กล่าวค้านพระพุทธพจน์ คือการไม่นำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นข้อสงสัย หรือกล่าวค้านเพราะสิ่งที่กล่าวไว้ในพระพุทธพจน์
ย่อมเป็นความจริงตลอดกาล
๗. ไม่ออกนอกประเด็นที่ตั้งไว้ คือการพูดให้อยู่ในหัวข้อที่ตั้งไว้ ไม่พูดแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง
๘. ไม่พูดนานจนน่าเบื่อ คือการเลือกเวลาที่เหมาะสมตามสถานการณ์ เนื่องจากเรื่องบางเรื่องอาจไม่จำเป็นต้องขยายความมากเกินไป

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในชีวิตประจำวัน...ก็จะเห็นได้ว่า กุศลธรรม เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม
.เพราะกุศลมีหลายขั้นขั้นที่เป็นไปในทาน ศีล นั้น...ประกอบด้วยปัญญา คือ ความเห็นถูก ก็ได้แต่
กุศลธรรมที่ประกอบด้วยความเข้าใจถูก คือ ค่อย ๆ เข้าใจสภาพธรรมและ มีการอบรมเจริญให้มากขึ้น
จนเห็นโทษของอกุศลธรรมและ รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้.!
มีการสนทนากันว่า ทำไมจึงต้องรู้ว่า เป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม เป็นสภาพธรรม แต่ละอย่าง ๆเพราะเหตุว่า
ปกติที่เราเรียนเรื่องขันธ์ทั้ง ๕ แต่เราไม่รู้จักแม้สักขันธ์เดียว.!

และ ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ ถ้าประชุมรวมกันแล้ว ก็ (มีความเห็นผิดและยึดถือ) "เป็นเรา" ทั้งหมดเลย.!แต่การอบรม
เจริญปัญญา คือ ค่อย ๆ ศึกษาให้เกิดความเข้าใจ ว่า ขณะนี้...มี "ลักษณะของสภาพธรรม" กำลังปรากฏเป็นรูปขันธ์
และ นามขันธ์ใด.!ปรากฏความเป็นนามขันธ์หนึ่ง นามขันธ์ใด.! มีลักษณะของจิตบ้าง...... ลักษณะของอกุศลธรรม
ซึ่งเป็นกิเลส คือ เจตสิก ซึ่งเป็นสังขารขันธ์บ้าง แม้แต่ กุศล ที่กล่าวถึงนี้... ก็หมายถึงเจตนาเจตสิก ที่เป็นไปในกุศลธรรม
และ อกุศล ก็เป็นสังขารขันธ์ (อกุศลเจตสิก) เพราะว่า สังขารขันธ์ เป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งจิต "ปัญญา"
(ความเข้าใจถูก-เห็นถูก) ก็เป็นสังขารขันธ์ ซึ่งปรุงแต่งจิต ให้มีการสะสม และเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องซึ่งท่านอุปมา
เหมือนผู้ที่ จะเดินทางไกล เพื่อจะออกจากสังสารวัฏฏ์ ออกจากภพภูมิ...ออกจากการเกิดดับในภพภูมิต่าง ๆ ก็ต้องมีการ
สะสมเสบียงเสบียง ก็คือ กุศลธรรมทั้งหลายและการที่จะเป็นเสบียงหรือเป็นปัจจัย เป็นเพื่อนสนิท เป็นมิตรที่คอยอุปถัมภ์
ที่จะให้ผลข้างหน้า คือ การเกิดในสุคติภูมิ แล้วยังสะสมเป็นปัจจัย ให้มีการได้ฟังพระธรรมต่อไปอีก เพื่อที่จะได้อบรมเจริญ
กุศลธรรม จนกว่าจะถึงการดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท (พระอรหันต์) และออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ ซึ่งหมายถึง "การเดินทาง
ที่ยาวนานมาก"

เพราะฉะนั้น ประโยชน์ ก็คือ...ค่อย ๆ สะสมกุศลธรรม ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งในภพปัจจุบัน คือ ให้ผลอุปถัมภ์ในภพปัจจุบัน
แล้ว ยังให้ผลอุปถัมภ์ ในภพที่เกิดในสุคติภูมิ และยังให้ผลเป็นประโยชน์ส่วนใหญ่ ซึ่งเป็น "ปรมัตถประโยชน์" คือ การดับ
กิเลสได้ (ตามลำดับ) จนกระทั่งถึงพระนิพพาน ในที่สุด ซึ่งต้องเป็น "กุศลธรรมที่ประกอบด้วยปัญญา" คือ กุศลธรรม
ที่เป็นไปในความเข้าใจถูก.

ไม่มีความคิดเห็น: