เราคุยกันเรื่องวิธีคิด
มนุษย์เรามีอิสระและศักยภาพทางด้านความคิด ตลอดจนใช้พลังของความคิดเป็นบทเรียนเพื่อเป็นฐานการเดินทางของชีวิต ผมเชื่อว่าทุกคนมีคุณสมบัติการเป็นนักคิด และคำถามต่อไปของผมคือ ทุกคนคิดกันอย่างไร?
วันนี้ผมสนทนากับนักวิชาการท่านหนึ่งเรื่อง "วิธีคิด" เขาพูดกับผมว่า เมื่อทำงานวิจัยขึ้นมาชิ้นหนึ่ง โดยมีการ Review literature อ้างแนวคิด ทฤษฏีจากตำราที่มีไว้แล้วและเป็นที่ยอมรับสากล และกระบวนการทำงานวิจัยเพื่อหาปรากฏการณ์ใหม่ๆตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ จำเป็นจะต้องอ้างอิงกรอบคิดที่ทฤษฏีนั้นๆตั้งเอาไว้ เพื่อนำมาอธิบายผลที่ได้จากการค้นหาคำตอบ...
เขาถามผมว่า จำเป็นหรือไม่? หากผลงานวิจัยจะอ้างอิงกรอบแนวคิดที่เราตั้งไว้ เพื่ออธิบาย และปิดงานวิจัยเมื่อปรากฏการณ์นั้นตรงหรือสอดคล้องกับทฤษฏีที่เราอ้างถึง
ผมตอบว่า หากเราคิดเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเราจำกัดกรอบคิดของตนเอง เราอาจใช้ทฤษฏีนั้นเป็นแนวทางได้ แต่ในบริบท (Context) ของเราที่แตกต่างหรือเฉพาะ คำตอบที่ค้นพบเราสามารถอธิบายได้ ตามสถานการณ์และธรรมชาติของปรากฏการณ์ ผมหมายถึงเราอาจได้ ทฤษฏีใหม่ๆที่ตอบโจทย์สังคมในวินาทีนี้ ...หากเรากล้าพอที่จะทะลุกรอบคิด เราสถาปนาชุดความคิดใหม่ได้ หากเรามีวิธีคิดแบบมีวิจารณญาณ (Critical thinking)
ผมพบว่าหลายครั้ง เราไม่กล้าพอที่จะคิดแบบทะลุกรอบ หรือ เรามีองค์ความรู้ไม่พอ หรือเราคิดกันไม่ถึง ยังไงก็แล้วแต่ส่วนใหญ่เรามักคิดระดับ Convergent thinking หรือที่ผมได้เรียนรู้จากอาจารย์ที่ผมเคารพท่านหนึ่งท่านบอกว่า วิธีคิดแบบ "หน่อมแน้ม" ซึ่งความหมายตรงคือ "ตื้น" ท่านใช้คำว่า Generic thinking ซึ่งยังไม่ถึงระดับ Critical thinking
มีคำถามต่อว่างานของ นักศึกษาปริญญาโท - เอก ที่เรียกว่า Thesis บางส่วนคิดไม่สุด คือ คิดแบบ Generic thinking กันเป็นส่วนใหญ่ลงไม่ลึกถึงระดับการสังเคราะห์ อันเป็นความคิดที่แจ่มแจ้งผ่านการใคร่ครวญมาแล้วอย่างรัดกุม ดังนั้นเราพบว่า "พลังขององค์ความรู้ที่ได้จากงาน Thesis จึงตอบสนองกับปัญหาน้อยมาก หรือไม่ตอบสนองกับปัญหาเลย"
ผมไปแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อไม่กี่วันมานี้ นอกจากจะคุยเรื่องของ "การเรียนปริญญาโทอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ" แล้ว สิ่งที่ผมเน้นที่สุดก็คือ "ผลผลิตของความคิด" ซึ่งเป็นหัวใจของนักศึกษา ได้แก่ "วิทยานิพนธ์" ที่เน้นการผสมผสานศาสตร์ (Cognitive Operation) ทั้งประสบการณ์ ความรู้ แนวคิด และ ทฤษฏี ที่สำคัญต้องกล้าที่จะคิดโดยผ่านยุทธวิธีต่างๆในการสร้างความรู้ใหม่
ผมบอกนักศึกษาว่า ๑ + ๑ = ๓
ซึ่งหมายความว่า ความรู้ของเรา (๑) + ความรู้ของเขา(๒) = ความรู้ของเรา (๓) การถกเถียงที่อยู่ภายใต้เหตุผลและอารมณ์ที่สมดุล เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ท้าทายอย่างมาก เกิดความรู้ที่เกิดจากการผสานศาสตร์อันเป็นการรวมของ Tacit knowledge เป็นพลังอย่างหนึ่งของการสร้างความรู้เป็นทุนปัญญาให้กับบุคคลและองค์กร
ผมเน้นย้ำให้มีการรวมกลุ่มนักศึกษาด้วยกันเองเพื่อถกประเด็น
การเรียนแบบนี้สนุกและท้าทายอย่างมาก ช่วงที่ผมเรียนปริญญาโทไม่ค่อยได้ปะทะทางความคิดกันสักเท่าไหร่ เรารับทฤษฏีมากเกินไป เราเรียนเนื้อหาจากตำรามากเกินไป ทำให้การเรียนกับตำราที่ตายไปแล้ว มันช่างหงอยเหงาและลดทอนพลังในตัวเราเองลงมาก
ทางออกของการพัฒนาศักยภาพผมจึงเน้นไปต่อที่ การปฏิบัติด้วยตัวเอง แล้วถอดบทเรียน ซึ่งคิดว่าเป็นการเรียนรู้ที่ผ่านการลงมือ ใคร่ครวญผ่านการสังเคราะห์ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนได้ได้องค์ความรู้ชุดหนึ่ง ตอบโจทย์ สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาได้อย่างมีพลัง
ที่เขียนมาทั้งหมด อาจดูเหมือนง่าย แต่แท้จริงยากครับ!!
เพราะการคิดแบบมีวิจารณญาณ (Critical thinking) ต้องอาศัยการฝึกฝนทักษะการคิด ทุกแง่ทุกมุมและคิดซ้อนลงไปเรื่อยๆ เราจะพบว่า ปรากฏการณ์ความคิดมหัศจรรย์เพียงใด
และปัญหาสังคมปัจจุบันเราคิดแบบ "ตื้น" ไม่ได้แล้วครับ เพราะเสียทั้งงบประมาณและเวลา ถึงเวลาที่เราจะได้เรียนรู้กันใหม่ว่า การป้องกันโรคไข้เลือดออกไม่ได้ทำแค่ คว่ำกะโหลก กะลา หรือใส่ทรายอะเบทแต่เพียงอย่างเดียว
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
นนทบุรี
๒๓ มิ.ย.๕๑
๒๒.๔๐ น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น