พลังงานนิวเคลียร์ของคนไทย ทางเลือกใหม่ "ดี"ปลอดภัยจริงหรือ...?
|  |
|  | ในยุคปัจจุบันไฟฟ้าเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตไปแล้ว ทั้ง การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ สถิติการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่อง ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ น้ำมัน ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงพลังงานทดแทนที่เรียกว่า
"พลังงานนิวเคลียร์"
เป็นอีกทางเลือกหนึ่งตามแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เทคโนโลยีและมาตราฐานความปลอดภัยของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า 50 ปี ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ กระจายตามประเทศต่างๆทั่วโลก รวม 436 โรง รวมทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินการสร้างเพิ่มอีก 45 โรงทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป และเอเซีย
เมื่อมีการพูดถึงโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ บ่อยครั้งที่ประเด็นเรื่อง "ความปลอดภัย" จะต้องถูกหยิบยกเป็นหนึ่งในคำถามยอดนิยมตลอดกาล สำหรับประเทศไทย ซึ่งยังไม่เคยมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ แต่อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ และการคัดเลือกสถานที่ตั้ง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2554 นั้น
จากการที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ อาศัยความร้อนไปต้มน้ำให้เดือด และนำไอน้ำ ที่ได้ไปปั่นกังหันไอน้ำที่เชื่อมต่อกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยจะอาศัยความร้อนที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาการแตกตัวของธาตุยูเรเนี่ยม ซึ่งไม่มีการเผาใหม้เชื้อเพลิงเหมือนกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนประเภทอื่น ที่นิยมใช้อยู่ทั่วโลกมี 3 แบบ คือ แบบน้ำเดือด (Boiling water Reactor) แบบน้ำอัดความดัน (Pressurized water Reactor -BWR) แบบน้ำมวลหนัก (Pressurized Heavy water Reactor - PHWR หรือ CANDU) จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับต่ำ
นายชวลิต พิชาลัย รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบาย และแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ด้านพลังงานของประเทศไทยทุกวันนี้มีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้นทุกปี จึงมีการจัดหาพลังงานไฟฟ้า เพื่อตอบสนองกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นประเทศไทย ใช้พลังงานเชื้อเพลิงส่วนของก๊าซธรรมชาติที่ผลิตไฟฟ้าถึง70%

ขณะที่อัตราโดยเฉลี่ยของโลกมีการใช้พลังงานก๊าซเพียง 20 -30 % ปัจจุบัน 2ใน 3 เราใช้ก๊าซจากอ่าวไทย 1 ใน 3 เรานำเข้ามาจากพม่า ความจำเป็นที่เราจะต้องมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เพราะในด้านประสิทธิภาพ ถ้าเปรียบเทียบกับโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน เชื้อเพลิง 1 กิโลกรัมของโรงไฟฟ้าถ่านหินสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 3 หน่วย ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เชื้อเพลิง 1กิโลกรัม ผลิตเชื้อเพลิงได้ 300,000 หน่วย ซึ่งจะมีประสิทธิต่างกันถึง 100,000 เท่า ส่วนประโยชน์ในส่วนของการลดโลกร้อนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปล่อยก๊าซคาบอนไดออกไซด์ต่างกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน 130 เท่า ต่างกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 70 เท่า ซึ่งจะเห็นส่วนต่างได้อย่างชัดเจน
มาตราฐานความปลอดภัยของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เป็นไปตามมาตราฐานของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) จะคำนึงถึงความปลอดภัยของสาธารณะชน และสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ จะมีส่วนปิดกั้นรังสี 5 ชั้น เริ่มตั้งแต่เม็ดเชื้อเพลิง ท่อหุ้มเม็ดเชื้อเพลิง ถังปฏิกรณ์ อาคารปฏิกรณ์ชั้นใน จนถึงอาคารปฏิกรณ์ชั้นนอก ซึ่งอาคารปฏิกรณ์มีความหนาถึง 1.5 - 2 เมตร ทำให้การเดินเครื่องไฟฟ้าในภาวะปกติ กรณีมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น รังสีจะไม่สามารถรั่วออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอกได้ นอกจากนี้โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์จะใช้เชื้อเพลิงยูเรเนี่ยม -235 ที่มีความเข้มข้มเพียง 0.7 - 4 % เท่านั้น ต่างจากระเบิดนิวเคลียร์ที่มียูเรเนี่ยมเข้มข้นสูงกว่า 90 % จึงไม่มีโอกาสที่จะระเบิดเหมือนกับระเบิดนิวเคลียร์ได้
นายปรีชา การสุทธิ์ นายกสมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย บอกว่า สถานที่ที่จะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยกำหนดไว้ 3 แห่ง ที่จะนำเสนอรัฐบาล และสามารถสรุปได้ภายในกลางปี2553 ว่าจะสร้างได้ที่ใดบ้าง ในที่ 3 แห่งจุดสำคัญ คือ ต้องมีปริมาณน้ำพอเพียง ต้องมีรากฐานที่แข็งแรงปลอดภัยเกี่ยวกับเรื่องแผ่นดินไหว ที่สำคัญตอนนี้เรายังไม่มีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จึงจำเป็นต้องจ้างผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อศึกษาหาสถานที่ที่เหมาะสมในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงงานนิวเคลียร์ สิ่งสำคัญประการแรกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องต้านทานแผ่นดินไหวได้เป็นอย่างดี
การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ จำเป็นต้องได้รับการดูแลมาตรฐานสากลจากทบวงปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ IAEA ตั้งแต่การคัดเลือกสถานที่ตั้ง การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การออกแบบ การขออนุญาตก่อสร้าง การทดสอบ และการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า รวมถึงการเข้ามาดูแลตรวจสอบและอนุมัติด้านความปลอดภัยตลอดระยะเวลา 60 ปี ของอายุโรงไฟฟ้า อีกทั้งในด้านบุคลากรในการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า ก็จะต้องมีคุณสมบัติที่ตรงตามกำหนด ผ่านการคัดเลือก การฝึกอบรม และการต่อใบอนุญาต ซึ่งเทียบเท่ากับการคัดเลือกนักบิน ซึ่งประเทศใดจะดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ก็จะต้องดำเนินการก่อสร้างให้ได้ตามมาตรฐานที่ IAEA ระบุไว้ ส่วนเทคโนโลยีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในปัจจุบัน ไม่มีประเทศใดในโลกนำเทคโนโลยีเหมือนกับโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลมาใช้อีกแล้ว
นายเทวินฏฐ์ อัครศิลาชัย ผู้อำนวยการสมาคมสร้างสรรค์ชีวิตและสิ่งแวดล้อม (ACED) กล่าวว่า เรื่องนิวเคลียร์ถือเป็นเรื่องใหม่ของคนไทย ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่คำนึง คือเรื่องของวิกฤติ เรื่องพลังงานของประเทศไทยเวลาถึงที่สุด หรือยัง และสามารถหาพลังงานอื่นมาทดได้อีกหรือไม่ ระบบการจัดการเรื่องพลังงานของประเทศไทยยังมีปํญหาเรื่องผูกขาดการจัดการ และการมีส่วนร่วมจากประชาชนทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การขนส่ง การจำหน่าย
นายเทวินฏฐ์ กล่าวอีกว่า เรื่องของสุขภาพชุมชน ถือ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึง การทำวิจัยเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องทำให้ครบ วิกฤติด้านสุขภาพภาพชุมชนยังเป็นปัญหา โดยที่ผ่านมา แม่เมอะ มาบตาพุต เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ว่า ถ้าหากเราไม่ดูแลเรื่องการจัดการพลังงานให้ชัดเจนขึ้นจะเกิดปัญหาที่เป็นลูกโซ่ตามมาอีกมากมาย โดยเรื่องการศึกษาเรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจะมีการศึกษาที่มีองค์กรที่เป็นกลางจริง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นพลังงานสะอาดจริงแต่ต้องคำนึงถึงเรื่อง กากขยะที่ไม่สามารถหมุนเวียนกลับมาได้จะมีการจัดเก็บที่ปลอดภัยอย่างไรจึงอยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้หลักประกันกับสังคมไทยได้ว่า โรงไฟฟ้าพลังงงานนิวเคลียร์ดีจริงหรือมีความปลอดภัยจริงอย่างไรบ้าง
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ของคนไทย และทุกสิ่งล้วนเกี่ยวโยงเข้าหากันหมดสิ่งแวดล้อม โลกร้อน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังจะรุนแรงขึ้นวิธีแก้ไขมีนับร้อยแปดพันเก้า สิ่งสำคัญอยู่ที่ความตระหนักของทุกคนว่าจะเข้าใจมากได้เพียงใด โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถือเป็นทางเลือกหนึ่ง จะดีหรือไม่ ก็ไม่เท่ากับที่เราจะรักษาสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด
นิติกุล พันธุตะ SCOOP@NAEWNA.COM |
| วันที่ 26/1/2010 | |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น