Life Style
จากประตูรั้วถึงก้นครัว 'Made in Japan'
โดย : วรุณรัตน์ คัทมาตย์,ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ






ของใช้รายรอบตัวเราต้องมีอย่างน้อย 1 ชิ้นที่ Made in Japan เคยถามตัวเองหรือไม่ว่า ทำไมถึงปล่อยมัน มาจับจองพื้นที่ ในบ้านเรามากขนาดนี้
จากเรียบง่ายสู่ไฮเืทค
"เซรามิก เป็นงานดีไซน์ชิ้นแรกๆ ของญี่ปุ่นที่ส่งตรงมาถึงเมืองไทย ด้วยสไตล์ที่เรียบง่ายบ่งบอกถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมในสมัยเอโดะ ยุคนั้นเซรามิกได้รับการตอบรับที่ดีมาก" มาซาโกะ อุเมเอดะ หัวหน้าฝ่ายศิลปวัฒนธรรมแห่งเจแปนฟาวน์เดชั่น เริ่มต้นเล่าถึงงานดีไซน์แบบญี่ปุ่นแท้ๆ
เซรามิกเป็นผลิตผลในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงนั้นญี่ปุ่นยังปิดประเทศ และไม่รับวัฒนธรรมจากต่างประเทศ ความเป็นอยู่สมัยนั้นยังเรียบง่ายเน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก
ครั้งไฟสงครามโลกมอดลง ญี่ปุ่นแม้จะตกเป็นฝ่ายพ่าย ก็เปิดประเทศมากขึ้น ตอบรับวัฒนธรรมตะวันตกมากขึ้นและพยายามปรับตัวแบบก้าวกระโดด จากความเรียบง่ายจึงค่อยๆ ขยับขยายมาเป็นเทคโนโลยีไฮเทค พร้อมกับดีไซน์สไตล์ปลาดิบ
"บ้านญี่ปุ่นเมื่อก่อนจะเรียบง่ายมาก ตัวบ้านค่อนข้างเล็กแล้วปูเสื่อตาตามินั่งพื้น ไม่มีเก้าอี้ แต่พอรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา ก็เริ่มสร้างบ้านให้ใหญ่ขึ้นเพื่อที่จะรองรับเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ๆ อย่างเตียง ตู้ เริ่มออกแบบเป็นเก้าอี้แล้วก็ปูพรมแทนเสื่อตาตามิ อย่างเก้าอี้ผ้าก็ดีไซน์ให้พับได้เพื่อประหยัดพื้นที่ ขาเก้าอี้ออกแบบคล้ายเลื่อน สามารถวางบนเสื่อตาตามิได้โดยไม่สร้างรอยขูดขีดให้เสียหาย งานออกแบบปัจจุบันจึงเป็นการผสมผสานเอาเก้าอี้แบบตะวันตกมาปรับให้มันเข้ากับบ้านญี่ปุ่นได้"
มาซาโกะ อธิบายต่อว่า งานดีไซน์เป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นถนัดและทำมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะเรื่องผสมผสาน มีการหยิบยืมเอาวัฒนธรรมของเพื่อนบ้านมาร่วมในงานออกแบบ เช่น จีน เกาหลี หยิบเอางานเพื่อนบ้านมาผสมเข้ากับของเดิมที่มี เห็นว่าอะไรดีก็เลือกหยิบมาใส่รวมกันแล้วนำมาปรับให้โดดเด่น กลายมาเป็นของใช้ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
บรรพบุรุษของดีไซน์สไตล์ปลาดิบบางส่วนถูกนำมาแสดงในนิทรรศการ Japanese Design Today 100 ผสมกับนวัตกรรมรุ่นลูก รุ่นหลาน อีกหลายสิบชิ้น ให้เห็นการเดินทางของงานออกแบบ
"แต่ละชิ้น ไม่ได้เลือกจากการออกแบบที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ตัวงานต้องแสดงถึงรากเหง้าของวัฒนธรรม-การดำเนินชีวิตของคนญี่ปุ่นด้วย เป็นสิ่งที่แสดงถึงไลฟ์สไตล์หรือวัฒนธรรมการใช้ชีวิตที่ถ่ายทอดมาถึงคนญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน" ข้อมูลจากมาซาโกะ
ในฐานะประชากรรุ่นหลัง มาซาโกะเล่าถึงอุปนิสัยบางส่วนของคนรุ่นปู่ย่าตาทวดไว้ว่า เน้นซื้อและใช้ของที่ดี ละเอียดรอบคอบเอามากๆ เวลาจะซื้อแต่ละชิ้น ขณะเดียวกันก็ดูเรื่องสไตล์และฟังก์ชันด้วย ถ้าสวยแต่การใช้งานไม่ดีก็ไม่มีทางได้กินเงินในกระเป๋า เช่น สิ่งของอะไรที่มาเป็น material (วัตถุดิบ) อยู่แล้ว ก็จะทำให้ material มันเด่นขึ้นมาโดยไม่ปรุงแต่งมาก เน้นปรับให้สามารถใช้งานได้จริง
"ที่ญี่ปุ่นจะมีพื้นที่ในบ้านน้อย แล้วจะทำยังไงให้จัดการพื้นที่ในบ้านได้ลงตัว เนื่องจากหลังสงครามโลกญี่ปุ่นมีกฎหมายว่าห้ามสร้างบ้านไม่เกินพื้นที่ที่กำหนด ถ้าทำได้คุณจะได้รับการงดเว้นภาษี นักออกแบบก็มาคิดว่าสร้างบ้านเท่านี้แหละแต่ให้มีพื้นที่ใช้สอยครบถ้วนจะทำได้อย่างไรบ้าง พยายามให้มีทุกอย่างในพื้นที่เล็กๆ ได้"
น้อยๆ กับ เยอะๆ
ด้วยตกที่นั่ง "ผู้แพ้" จากสงครามโลกครั้งที่สอง และนั่นเท่ากับแรงผลักดันให้ญี่ปุ่น ต้องเร่งฟื้นฟูตัวเองกลับมาให้ มี "มากกว่า" ประเทศอื่น
สมญา "เจ้าแห่งเทคโนโลยีไฮเทค" จึงตามมา ขณะเดียวกับฟากงานศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมก็ไม่ได้เฟดตัวออกไป ยังคงเดินคู่ขนานกันมาจนถึงโลกยุคปัจจุบัน
"ส่วนตัวคิดว่าสองไอเดียระหว่างความทันสมัยกับวัฒนธรรมดั้งเดิม สามารถนำมาประยุกต์รวมกันได้ ตัวอย่างเช่น โกโตะ เครื่องดนตรีญี่ปุ่น เป็นเครื่องสายชิ้นหนึ่ง (คล้ายๆ กู่เจิงหรือจะเข้) มีการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีมาผสมกับเครื่องดนตรีซึ่งดั้งเดิมมากๆ ในอดีตโกโตะเป็นเครื่องดนตรีขนาดใหญ่มาก แต่ต่อมาถูกประยุกต์ให้เป็นเครื่องดนตรีใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะสามารถคอนโทรลเสียงได้ดีกว่าเครื่องเดิมในอดีต และพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงด้วย"
ส่วนหนึ่งเพราะคนรุ่นใหม่ในญี่ปุ่น เริ่มไม่คุ้นและตีตัวออกห่างจากวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่การทำโกโตะให้เล็กลงและดูร่วมสมัยขึ้น เป็นอีกทางรอดหนึ่งของเครื่องสายโบราณชนิดนี้
ในส่วนของแฟชั่น ความเรียบง่ายในเสื้อผ้าการแต่งกาย ตามสไตล์ดั้งเดิมยังส่งเทรนด์มาจนถึงเดี๋ยวนี้
"เช่น แบรนด์ Uniglo เสื้อผ้าแฟชั่นแบรนด์ญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลกก็มีผู้บริหารเป็นคนรุ่นใหม่แต่เน้นสไตล์เรียบง่าย มีสีสันแต่ไม่ตกแต่งเพิ่มเติม ซึ่งค่อนข้างขัดแย้งกับกลุ่มวัยรุ่นญี่ปุ่นปัจจุบันที่ชอบแต่งตัวจัด เน้น 'เยอะๆ' เกาะติดเทรนด์" เช่น สไตล์เจ้าหญิง ซึ่งจุดเริ่มต้นอาจจะมาจากเหล่าเซเลบหรือดาราที่พวกเขาชื่นชอบ อย่างดาราจะมีพวกเว็บบล็อก ชอบการตกแต่งแบบนี้แล้วโพสต์ลงบล็อก เด็กๆ วัยรุ่นก็ทำตาม
"นอกจากจะเน้นตกแต่งเยอะๆ แล้วก็ต้องเป็นของที่มีชิ้นเดียวในโลกที่ทำเองด้วย เป็นของชิ้นเดียวที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน" มาซาโกะ ยกตัวอย่าง ที่ห้อยโทรศัพท์มือถือ หรือ การเพ้นท์เล็บ
นอกจากนี้วัฒนธรรมญี่ปุ่นยังสามารถเชื่อมต่อถึงวัฒนธรรมไทยได้ อย่างหนึ่งที่มาซาโกะสัมผัสได้คือ คนญี่ปุ่นกับคนไทยจะชอบของอะไรที่กุ๊กกิ๊กน่ารักเหมือนๆ กัน ทำนองว่า ขนาดโตจนถึงวัยทำงานแล้วก็ยังชอบคิตตี้อยู่ ด้วยเหตุนี้การส่งต่อวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศจึงทำได้ง่าย
"คนไทยหรือญี่ปุ่นก็ค่อนข้างเกาะกลุ่มเหนียวแน่นอยู่กับครอบครัว การอยู่กับครอบครัวจนอายุเยอะๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนเอเชีย และในส่วนของแฟชั่นการแต่งตัวคิดว่าวัยรุ่นไทยชอบอะไรที่ตกแต่งเยอะๆ มากกว่าญี่ปุ่น เท่าที่สังเกตจากช็อปต่างๆ ตามสยามหรือเซ็นทรัลเวิลด์ จะเห็นเสื้อผ้าที่เน้นการตกแต่งอย่างมีสร้อยหรือ ริบบิ้น ประดับอยู่ที่เสื้อผ้า ซึ่งเด็กญี่ปุ่นก็จะชอบอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่ถ้าอายุมากขึ้นก็จะเน้นเป็นแนวเรียบๆ"
แตกต่างจากฟากยุโรปที่ค่อนข้างโตเร็ว เน้นให้ช่วยเหลือตัวเองได้ตั้งแต่เด็กๆ เมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่นก็แยกออกไปอยู่คนเดียว เรื่องกุ๊กกิ๊ก หรือ คิกขุอาโนเนะ จึงสงวนไว้แค่วัยเด็ก
"เขาจะมองว่าถ้าใช้ของพวกนี้ (คิตตี้หรือคาแรคเตอร์ตระกูล Sanrio) รู้สึกว่าไม่เป็นผู้ใหญ่"
หลอมวัฒนธรรมโลก
จนมาถึงโลกไร้สาย เชื่อมโยงถึงกันได้แบบใยแมงมุมในปัจจุบัน ถ้าจะถามว่าอะไรคือ "ดีไซน์ญี่ปุ่น"
คนถูกถามอย่างมาซาโกะ นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะไขข้อข้องใจมาว่า
"น่าจะบอกยาก เพราะว่ามันค่อนข้าง Globalization มันมีการถ่ายเทศิลปวัฒนธรรมเหล่านี้ระหว่างกันอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะรับมาจากทางอเมริกา ยุโรป กลุ่มประเทศแถบสแกนดิเนเวีย หรือทางประเทศอื่นๆ ก็อาจจะนำแนวคิดหรือรูปแบบของญี่ปุ่นไปใช้ไปปรับเพื่อผลิตชิ้นงานด้วย คือมันค่อนข้างคล้ายกันหมด จึงเป็นเรื่องยากถ้าจะระบุเจาะจงลงไป"
ยุคหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ญี่ปุ่นเปรียบเสมือนผู้นำด้านวัฒนธรรมและแฟชั่นของเอเชีย สไตล์ของลูกพระอาทิตย์ไหลบ่าสู่เอเชีย รวมถึงประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น การ์ตูน แฟชั่น ภาพยนตร์ ดนตรี ฯลฯ
แต่หลังๆ มานี้ กิมจิชักจะทำคะแนนนิยมแซงหน้าปลาดิบไปหลายช่วงตัว
"หลักๆ น่าจะเป็นนโยบายของรัฐบาลเกาหลีที่ส่งเสริมการโปรโมทวัฒนธรรมหรือซีรีส์ที่เป็น Pop Culture ของเขามาก เนื่องจากตลาดผู้บริโภคของเกาหลีเล็กกว่าญี่ปุ่น เกาหลีจึงต้องส่งเสริมการโปรโมทไปยังต่างประเทศ แต่รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ได้เน้นโปรโมทนอกประเทศมากนัก เพราะญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ใหญ่อยู่แล้วจึงเน้นโปรโมทในประเทศมากกว่าต่างประเทศ"
"ด้วยวิธีคิด ญี่ปุ่นจะไม่โปรโมทมากไปหรือพยายามไม่ผลักสินค้าไปหาผู้บริโภคจนเกินไป ถ้ามีคนชอบเขาก็จะซื้อสินค้าอยู่แล้วเหมือนว่านำเสนอนะแต่ไม่บังคับให้บริโภค ยอมรับตอนนี้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็ศึกษาอยู่ ก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์นี้เหมือนกัน แล้วก็คิดว่าญี่ปุ่นเรียนรู้และศึกษาจากกรณีนี้อยู่ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าญี่ปุ่นก็อาจจะเน้นเรื่องการโปรโมทที่มากขึ้น" มาซาโกะ เปิดเผยในฐานะข้าราชการคนหนึ่ง
................................................
ด้วยเหตุนี้ Made in Japan จึงอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด...
แล้ว Made in Thailand ล่ะ?
(หมายเหตุ : นิทรรศการ 100 งานออกแบบญี่ปุ่นของวันนี้ : Japanese Design Today 100 ระหว่างวันที่ 27 มกราคม-6 กุมภาพันธ์ 2553 ณ แกรนด์ฮอลล์ ชั้น 1 สยามดิสคัฟเวอรี่)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น