เพลงทะเลของทหารเรือ
เรียน บรรณาธิการไทยโพสต์
ตามข่าวหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ 18 มกราคม 2553 ลงข่าว ผบ.ทร.เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลา พิธีบำเพ็ญกุศลและสดุดีวีรชนกองทัพเรือประจำปี 2553 เพื่อระลึกถึงคุณความดีของวีรชนทหารเรือ ที่สละชีพปกป้องเอกราชอธิปไตย ในเหตุการณ์ยุทธนาวีที่เกาะช้าง (ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส) เมื่อ 17 มกราคม 2484 ณ อนุสรณ์เรือหลวงธนบุรี โรงเรียนนายเรือ
ผมขอร่วมรำลึกเหตุการณ์และสดุดียุทธนาวีที่เกาะช้าง โดยส่งบทความ เพลงทะเลของทหารเรือ ให้พิจารณาลงพิมพ์เผยแพร่ จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา
เพลงทะเลของทหารเรือ
ห้วงน้ำขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "ทะเล" ใช้ประโยชน์ได้หลายสถาน ผู้ที่อยู่ห่างไกลทะเลอาจเห็นทะเลเป็นสถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจ หรือตากอากาศในยามพักฟื้นร่างกาย ส่วนผู้ที่มีบ้านเรือนอยู่ริมทะเล มีอาชีพประมงและเกี่ยวเนื่อง หาเลี้ยงชีพจากสินในน้ำ ก็เท่ากับฝากชีวิตไว้กับทะเลและเมื่อมองย้อนไปในอดีตที่ยาวไกล เห็นได้ว่าอาณาจักรหรือแคว้นที่มีอำนาจ ต้องมีเส้นทางเดินเรือติดต่อค้าขายต่างแดน และทุกแว่นแคว้นที่มีเส้นทางออกทะเล ต้องจัดตั้งกองทัพป้องกันอริราชศัตรู
สำหรับกองทัพไทยมีกองทัพเรือ ที่มีการจัดตั้งและอาวุธยุทโธปกรณ์ ตามแบบมาตรฐานสากลในสมัยรัชกาลที่ 5 บุคคลสำคัญที่กำหนดแนวคิด หลักนิยมให้ทหารเรือยึดถือปฏิบัติมาโดยต่อเนื่อง คือพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อุดมคติของทหารเรือปรากฏอยู่ในพระนิพนธ์ เพลงดอกประดู่
ฮะเบสสมอพลันออกสันดอนไป
ลัดไปเกาะสีชังจนกระทั่งกระโจมไฟ
เที่ยวหาข้าศึกมิได้นึกจะกลับมาใน
ถึงตายตายไปตายให้แก่ชาติของเรา
พวกเราจงดูรู้เจ็บแล้วต้องจำ
ลับดาบไปพลางช้างบนยอดกาฟฟ์จะนำ
สยามเป็นชาติของเราธงทุกเสาชักขึ้นทุกลำ
ถึงเรือจะจมในน้ำธงไม่ต่ำลงมา
เกิดมาเป็นไทยใจร่วมกันแหละดี
รักเหมือนพี่เหมือนน้องช่วยกันป้องปฐพี
สยามเป็นชาติของเราอย่าให้เขามาย่ำมายี
ถึงตายตายดีตายในหน้าที่ของเรา
พวกเราทุกลำจำเช่นดอกประดู่
วันไหนวันดีบานคลี่พร้อมอยู่
วันไหนร่วงโรยดอกโปรยตกพรู
ทหารเรือเราจงดูตายเป็นหมู่เพื่อชาติไทย
ถ้อยคำที่ว่า "สยามเป็นชาติของเราอย่าให้เขามาย่ำมายี" เป็นการปลุกใจและเตือนสติ ในขณะที่สถานการณ์ล่าอาณานิคมของชาติมหาอำนาจทางตะวันตกกำลังรุมเร้า
"สยามเป็นชาติของเรา ธงทุกเสาชักขึ้นทุกลำ ถึงเรือจะจมในน้ำ ธงไม่ต่ำลงมา" เป็นการกำหนดให้ธงเป็นสัญลักษณ์ของชาติ ขณะปฏิบัติราชการเรือของราชนาวีต้องชักธงทุกลำ และต้องรักษาธงให้อยู่คู่กับเรือ แม้เรือจะจมธงไม่ต่ำลงเป็นอันขาด
และทหารเรือถือสัญลักษณ์ดอกประดู่บานพร้อมกัน และโรยพร้อมกันในยามปราชัย อุดมคติดังกล่าวยังคงฝังใจทหารเรือไทยตราบถึงปัจจุบัน ดังเพลงเนวีบลู ที่นาวาตรีพยงค์ มุกดา ศิลปินแห่งชาติเป็นผู้แต่งไว้ มีความตอนหนึ่งว่า:-
"น้ำฟ้าเขียวคล้ำเหมือนสีน้ำเงินเจือดังเสื้อที่เราสวมใส่ เนวีบลูเหมือนดอกประดู่ไซร้จะบานหรือโรยเมื่อไหร่พร้อมกัน ลอยลำสง่าฝ่าคลื่นลม พร้อมพลีชีพโถมเข้าโรมรัน เพื่อรัฐไทยยืนยงดำรงและคงมั่น ชาติคือมิ่งขวัญของราชนาวี"
เพลงของทหารเรือไม่ได้จำกัดเฉพาะที่ทหารเรือแต่งไว้เท่านั้น เพราะพลเรือนหรือผู้ที่เคยรับราชการกองทัพเรือมาก่อน ก็มีส่วนร่วมในการแต่งเพลงให้ทหารเรือ เช่น เพลงวอลตซ์นาวี สกล มิตรานนท์ แต่งคำร้อง และสมยศ ทัศนพันธ์ แต่งทำนอง ถ้อยคำที่กินใจทั้งทหารและพลเรือนมีความตอนหนึ่งว่า
"ทะเลนั้นเป็นเหมือนถิ่นของเรา
จะขอเฝ้าตราบจนชีวิตเราสิ้น
ยามคลื่นซัดกระเซ็นเช้าเย็นสำเนียงเคยชิน
เลือดไหลรินเพื่อคงเกียรติของนาวี..."
ความรู้สึกตระหนักถึงคุณงามความดี ของผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยในท้องทะเล ยังมีปรากฏให้เห็นในเพลงยอดนิยม "พรานทะเล" ครูแก้ว อัจฉริยะกุล แต่งคำร้อง ครูเอื้อ สุนทรสนาน แต่งทำนองและขับร้อง มีสาระชวนพินิจดังนี้
"ชีวิตที่คร่ำกลางน้ำเวียนวน
ลอยล่องกลางชลไม่พ้นทนไป
อยู่กับเรือเบื่อใจผองพรานทะเลเร่ไป
อยู่ห่างไกลกลางสายชล
มองน้ำตรงหน้าจดฟ้าไกลไกล
ว้าเหว่ดวงใจไม่เห็นผู้คน
คลื่นและลมสู้ทนทุกข์ใจปานใดไม่บ่น
สู้แดดฝนลำบากกาย
อยู่หว่างทะเลนานนาน
ท้องเรือเป็นบ้านท้องธารเรือนตาย
สิ้นชีพสิ้นชนเคราะห์ร้าย
ศพฝังโดยง่ายฝากเอาไว้ใต้คงคา
เพียงเห็นริมฝั่งสักครั้งดีใจ
มาบกทีไรให้แสนปรีดา
ใกล้แผ่นดินเข้ามาเหมือนมีวิมานตรงหน้า
ปลื้มหนักหนาแทบจูบดิน"
เท่าที่สังเกตเพลงพรานทะเล เป็นที่ชื่นชอบของบุคคลอาชีพต่างๆ ที่ปฏิบัติงานในแหล่งน้ำ ทั้งทะเล แม่น้ำ ตลอดถึงเขื่อนต่างๆ และเป็นเพลงที่ทหารเรือชื่นชอบเช่นกัน ทหารเรือมักร้องเล่นในยามสนุกสนานกับญาติสนิทมิตรสหาย หรือการแสดงเพลงของทหารเรือบนเวทีการแสดง
เพลงทะเลของทหารเรือ มีทั้งเพลงที่ทหารเรือและพลเรือนแต่งให้ทหารเรือ ในขณะเดียวกันก็เป็นที่ชื่นชอบของบุคคลทั่วไปด้วย นอกจากนี้เพลงที่มีสาระเกี่ยวกับชีวิตในท้องน้ำ ก็เป็นที่ชื่นชอบของทหารเรือเช่นกัน เพลงดีมีคุณค่าจึงเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของชาติที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ขอแสดงความนับถือ
พ.อ.วัชระ วีรวงศ์
ตอบ พ.อ.วัชระ
ต้องยอมรับว่าคุณเป็นนักฟังเพลงตัวยง ที่รู้เรื่องเกี่ยวบทเพลงที่ทรงคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นเพลงของชรินทร์ นันทนาคร หรือเพลงเกี่ยวกับทะเลของทหารเรือ และอีกหลายๆ บทเพลงก็คงจะอยู่ในคลังสมองของคุณ
พูดถึงเพลงที่เกี่ยวกับน้ำเกี่ยวกับทะเลแล้ว ผมว่าบทเพลงของคุณชาลี อินทรวิจิตร ศิลปินแห่งชาติ ก็มีเพลงที่แต่งเกี่ยวกับน้ำและทะเลไว้หลายเพลง และทุกเพลงก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพลงดังทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพลงเรือนแพ ท่าฉลอม แสนแสบ แม่กลอง กว๊านพะเยา ครวญ ทะเลไม่เคยหลับ และ ฯลฯ
ถ้าคุณชาลีไปเกิดที่สหรัฐอเมริกา ป่านนี้ก็คงจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี เพราะบทเพลงของคุณชาลีดังทุกเพลง พ่อค้านำเพลงคุณชาลีไปขายแล้วขายอีกจนร่ำรวย แต่ทุกวันนี้คุณชาลีก็ยังยากจน ในกระเป๋าสตางค์ไม่ค่อยมีเงินมีแต่ตั๋วจำนำ
ทุกวันนี้ผลงานของนักแต่งเพลง นักเรียบเรียงเสียงประสานและนักร้อง ที่ร่วมกันสร้างไว้เมื่อครั้งอดีต ได้กลายเป็นสินค้าขายดีของพ่อค้าเพลง โดยไม่มีส่วนแบ่งตกมาถึงผู้ที่มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์บทเพลง
คงเป็นเพราะความอ่อนด้อยในเรื่องลิขสิทธิ์ ทำให้คดีความที่ขึ้นสู่ศาลทรัพย์สินทางปัญญา ผู้ที่ชนะคดีมักจะเป็นพวกพ่อค้า ที่มีเงินจ้างทนายเก่งๆ มาว่าความ ส่วนผู้แพ้ตลอดกาลก็คือพวกนักแต่งเพลง นักเรียบเรียงเสียงประสานและนักร้อง
บ้านเราทุกวันนี้ก็มีนักกฎหมายที่เก่งๆ จำนวนไม่น้อย และนักกฎหมายเหล่านี้ก็น่าจะเป็นแฟนเพลงเก่าจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ทำอย่างไรแฟนเพลงที่เป็นนักกฎหมาย ถึงจะได้มาช่วยเหลือผู้สร้างสรรค์บทเพลงให้ได้รับความเป็นธรรมบ้าง
ท่านอาจารย์สอนกฎหมายในมหาวิทยาลัย นิสิตนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ บรรดาท่านผู้ทรงเกียรติในสภาฯ ท่านผู้พิพากษา ท่านอัยการ ทนายความ และผู้ที่มีความรู้ทางด้านกฎหมายลิขสิทธิ์ พวกท่านไม่คิดจะช่วยเหลือครูเพลงเหล่านี้บ้างหรือ
สามวา สองศอก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น