วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

สำนวนไทยที่เกี่ยวกับอาวุธ
สำนวนไทยส่วนใหญ่เกิดจากสิ่งแวดล้อม สรรพสิ่งใกล้ตัว เช่น ข้าวของเครื่องใช้
ต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์ต่างๆ ฯลฯ อาวุธ เป็นเครื่องมือเครื่องใช้อีกอย่างหนึ่งที่คนไทย
โบราณนำมาเปรียบเทียบเป็นสำนวนให้เกิดแง่คิดมุมมอง อาวธุที่ปรากฏอยู่ใูน
สำนวนไทยดังกล่าว ได้แ้ก่ ดาบ พร้า มีด ศร ขวาน ฯลฯ รวมทั้งอุปกรณ์สำหรับใช้เก็บ
อาวุธที่เรียกว่า ฝัก

สำนวนแรก ดาบสองคม ดาบ บางทีก็เรียกว่า มีดดาบ คำว่า ดาบ พจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายว่า เป็นคำนาม หมายถึง มีดยาวปลายแหลมชนิดหนึ่ง
สันแอ่น ปลายงอนเล็กน้อย มักใช้เป็นอาวุธสำหรับฟันแทง ดาบ เป็นอาวุธที่ใช้ในการ
ต่อสู้รบรากับศัตรู ลักษณะของดาบแบ่งออกเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นด้านสันมีความ
หนาไม่คม อีกด้านหนึ่งเป็นด้านคมมีความบางกว่าด้านสัน ด้านสันที่ไม่มีความคมนั้น
ช่วยให้ผู้ถือดาบปลอดภัยจากความคม แต่ถ้าดาบมีความคมทั้งสองด้านขึ้นมาไม่ใช่จะ
ทำร้ายศัตรูได้ด้านเดียวแต่ด้านคมอีกด้านหนึ่งก็ทำร้ายผู้ถือดาบได้เช่นกัน สำนวนดาบ
สองคมนี้ใช้ในความหมายว่า สิ่งใดก็ตามเมื่อมีด้านดีก็ต้องมีด้านเสีย สิ่งใดที่มีคุณสิ่งนั้น
ก็อาจมีโทษได้เช่นกัน
สำนวนนี้ใช้กล่าวเตือนเมื่อจะกระทำสิ่งใดให้มีความระมัดระวัง
รอบคอบเพราะอาจเกิดทั้งผลดีและผลเสียได้พร้อมๆ กัน

สำนวนถัดมา ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม พร้า บางทีก็เรียกว่า มีดพร้า คำว่า พร้า
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน อธิบายว่า เป็นคำนาม หมายถึง มีดขนาดใหญ่
ถ้าเป็นรูปเพรียวยาวสำหรับถือกรีดกราย เรียกว่า พร้ากราย หรือ มีดกราย ถ้าปลาย
เป็นขอมีด้ามยาวสำหรับใช้เกี่ยวตัด เรียกว่า พร้าขอ ถ้าปลายงุ้มสันหนาและด้ามสั้น
เรียกว่า พร้าโต้ มีดโต้ หรือ อีโต้ก็เรียก ถ้าเป็นรูปเพรียวยาวด้ามงอๆ สำหรับหวดหญ้า
เรียกว่า พร้าหวด ถ้าปลายแบนโตมีคมสำหรับขุดดินได้ เรียกว่า พร้าเสียม ถ้าปลายตัด
มีรูปโค้งนิดๆ เรียกว่า พร้าถาง สำนวนนี้มีที่มาจากการตีเหล็กถ้าต้องการมีดหรือดาบที่มี
ความคมและสวยงามต้องใจเย็นรอจนเหล็กร้อนได้ที่เสียก่อนจึงค่อยนำมาตีให้ได้รูปร่าง
ตามที่ต้องการ แต่ถ้าใจร้อนเหล็กยังร้อนและอ่อนตัวไม่ได้ที่ก็รีบตีจะได้พร้าหรือมีดที่ไม่คม
และไม่ได้รูปร่างที่สวยงาม สำนวนช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงามนี้ หมายความว่า การทำงาน
หรือทำสิ่งใดก็ตามที่มีความยากลำบากต้องอดทนต้องใช้ความพยายามมากนั้น ต้องใจเย็น
ต้องรอบคอบ งานที่สำเร็จออกมาจึงได้ผลเป็นที่น่าพอใจ


อีกสำนวนหนึ่งคือ คมในฝัก คำว่า คม นั้น หมายถึง ส่วนที่บางของอาวุธที่บาดได้ เช่น
คมมีด คมพร้า คมขวาน ฯลฯ คม ในที่นี้เป็นความเปรียบ หมายถึง มีปัญญาเฉียบแหลม
ฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณ ส่วนคำว่า ฝัก เป็นอุปกรณ์ หรือสิ่งที่ใช้สวมมีดพร้า หอก ดาบ
ฝักที่ใส่อาวุธเหล่านี้มักทำด้วยหนังสัตว์ ไม้ ทองเหลืองหรือวัสดุอื่นๆ มีด พร้า หรือดาบ
เมื่อเก็บอยู่ในฝักจะไม่รู้ว่ามันมีความคมมากน้อยแค่ไหน มีสนิมขึ้นเกรอะหรือไม่ ต่อเมื่อ
ชักมีด ดาบ หรือพร้าออกมาจากฝักจึงจะรู้ว่ามันคมหรือไม่คม เปรียบเทียบกับคนที่อมภูมิ
เก็บความรู้ความสามารถที่ตนเองมีอยู่เอาไว้ไม่ยอมแสดงออก รอเวลาที่เหมาะสมจึงแสดง
ความรู้ความสามารถออกมา
ใช้เปรียบเทียบผู้ที่มีความฉลาดหลักแหลม มีความรู้ความ
สามารถแต่ไม่แสดงออกให้คนอื่นรู้รอจนเมื่อถึงเวลาเหมาะสมจึงแสดงออกมา

นอกจากมีด พร้า ดาบ อาวุธที่ใช้กันอย่างคุ้นเคยในวิถีชีวิตแบบไทยแล้ว ก็ยังมีปืนชนิดต่างๆ
รวมทั้งศร ธนู หน้าไม้ ฯลฯ ซึ่งเป็นอาวุธมีชื่อปรากฏอยู่ในสำนวนไทย ได้แก่ สำนวนยิงปื
นนัดเดียวได้นกสองตัว และสำนวนศรศิลป์ไม่กินกัน

สำนวน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ปืนจัดเป็นอาวุธที่ร้ายแรงทำอันตรายถึงชีวิตได้
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า ปืน เป็นคำนาม หมายถึง อาวุธสำหรับยิง
ให้ลูกออกจากลำกล้องด้วยกำลังดินระเบิดหรือแรงอัดดันด้วยลม เป็นต้น ถ้าเป็นปืนจำพวก
ขนาดใหญ่ใช้ในการรบ เรียกว่า ปืนใหญ่ ถ้ารูปสั้นใช้สำหรับยิงให้วิถีกระสุนโค้งมาก เรียกว่า
ปืนครก ถ้าเป็นจำพวกใช้กลไกลยิงเร็ว เรียกว่า ปืนกล (ศร หน้าไม้ เกาทัณฑ์ โบราณเรียกว่า ปืน
ปืนที่ใช้กำลังไฟ เรียกว่า ปืนไฟ) ปืนยา หมายถึง ศรหรือหน้าไม้ที่มีลูกอาบด้วยยาพิษ การ
ยิงนกด้วยปืนนั้น ปืนนัดเดียวก็ยิงนกได้ตัวเดียวเท่านั้น นกที่เหลือได้ยินเสียงปืนก็บินหนีไปหมด
สำนวนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวนี้ ใช้ในความหมายว่า ทำการงานอย่างเดียวแต่ได้ผลสองอย่าง
หรือหมายความถึงการลงทุนเพียงครั้งเดียวได้ผลกำไรสองทาง


สำนวน ศรศิลป์ไม่กินกัน ศร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า เป็นอาวุธชนิดหนึ่ง
ใช้ยิงด้วยกำลังสายให้ลัดลูกแล่นออกไป โบราณเรียก ลูกธนู ลูกหน้าไม้ คันธนูก็เรียก นอกจากนี้
ยังมีการผูกศัพท์เพื่อใช้ในบทร้อยกรองเพิ่มอีก เช่น ศรายุธ เป็นคำนาม หมายถึง อาวุธคือศร
ศราวรณ์ เป็นคำนาม หมายถึง เครื่องกำบังลูกศรคือโล่ ศราสน์ (อ่านว่า สะ ราด) เป็นคำนาม
หมายถึง คันศร ส่วนคำว่า ศิลป์ และศิลปะ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า เป็น
คำนาม หมายถึง ฝีมือการแสดงอารมณ์สะเทือนใจ นอกจากนี้ ยังมีคำศัพท์ที่เกี่ยวเนื่องอีก
เช่น ศิลปกรรม เป็นคำนาม หมายถึง สิ่งที่เป็นศิลปะ สิ่งที่สร้างขึ้นเป็นศิลปะ ศิลปศาสตร์
เป็นคำนามหมายถึง วิชาต่างๆ ซึ่งไม่ใช่วิชาทางเทคนิคหรือทางอาชีพ เป็นตำราว่าด้วย
วิชาความรู้เกี่ยวกับฝีมือ เช่น การคำนวณเลขผานาที ตำราแผลงศร ศิลปิน ศิลปี เป็นคำนาม
หมายถึง ผู้มีศิลปะในการแสดงออกโดยมากเกี่ยวกับเรื่องร้องรำทำเพลง ศรศิลป์ ในสำนวน
ไทยใช้เป็นคำคู่ สำนวนศรศิลป์ไม่กินกัน แต่เดิมในสมัยโบราณ หมายความว่า ไม่ทำร้ายกัน
เพราะเป็นญาติพี่น้องร่วม
วงศ์ตระกูลเดียวกันหรือเป็นมิตรเป็นเพื่อนกัน
เช่น ในวรรณคดีไทยเรื่องรามเกียรติ์ แต่ในปัจจุบัน
สำนวนศรศิลป์ไม่กินกัน ใช้ในความหมายว่า ไม่ถูกกัน ไม่ลงรอยกัน ใช้เปรียบเทียบในกรณีที่
บุคคลสองกลุ่มหรือสองฝ่ายไม่คบค้าสมาคมกันไม่ลงรอยกันไม่ถูกกัน


ที่มาข้อมูล : วารสารกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนกรกฎาคม 2552
วารสารกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนสิงหาคม 2552
เรื่องทั้งหมด

ไม่มีความคิดเห็น: