วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สังคมไทยที่ไร้การป้องกัน


เว็บไซต์ เอเอสทีวีผู้จัดการ วันวาน...ได้ไปหยิบเอาคำอภิปรายของท่านวุฒิสมาชิก คำนูญ สิทธิสมาน ในรัฐสภา ว่าด้วยกรณีการนำเอาสิ่งที่เรียกว่า เครือข่ายวิทยุชุมชน มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อสร้างความปั่นป่วน วุ่นวาย ให้กับสังคมในชาติบ้านเมือง ทั้งในช่วงเท่าที่ผ่านมา และโดยเฉพาะช่วงระยะนี้ มารายงานเป็นข่าว ซึ่งต้องยอมรับว่าได้ก่อให้เกิดอุทาหรณ์และข้อคิดสะกิดใจที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว...

-------------------------------------------------

ในช่วงหนึ่ง ท่าน ส.ว. คำนูญ ท่านกล่าวเอาไว้ว่า..."อยากให้รัฐบาลทบทวนบทเรียนในอดีต ในยุคสงครามเย็น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) มีเพียงสถานีวิทยุกระจายเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.) ตั้งอยู่ที่เมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพียงสถานีเดียว เป็นวิทยุคลื่นสั้น รับฟังไม่ง่ายนัก ยังสามารถก่อสงครามประชาชน สร้างความเสียหายให้ประเทศอย่างหนักได้ หรือแม้แต่เหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519 มีการปลุกระดมมวลชน ผ่านสถานีวิทยุยานเกราะสถานีเดียว ยังสามารถทำให้เกิดการเข่นฆ่ากลางเมืองอย่างเหี้ยมโหดได้ เทียบกับทุกวันนี้ที่มีเครือข่ายวิทยุชุมชนคลื่นเอฟเอ็ม รับฟังได้ง่ายเป็นร้อยสถานี หากไม่ตระหนักว่า...นี่คือปัญหาใหญ่...ที่ต้องเร่งบริหารจัดการ โดยไม่โยนให้เป็นความรับผิดชอบขององค์กรหนึ่งองค์กรใด หรืออ้างเหตุผลแต่เพียงว่า ไม่มีอำนาจ ไม่มีหน้าที่...อย่าคิดว่าสงครามประชาชนยุคใหม่จะเกิดขึ้นไม่ได้ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า..."

------------------------------------------------

เรื่องราวของเหตุการณ์ในอดีต...ไม่ว่ากรณีวิทยุกระจายเสียง สปท. หรือวิทยุ ยานเกราะ ที่ ส.ว. คำนูญ ท่านได้หยิบยกขึ้นมาอุปมา-อุปมัยให้เห็นนั้น ก็คงต้องยอมรับว่า...มัน เป็นไปตามนั้น จริงๆ ถ้าหากรัฐบาลยุคพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ไม่แอบดอดไปจับเข่า คลึงหัวเหน่าผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในระยะนั้น จนเกิดการสั่งห้ามไม่ให้พรรคคอมมิวนิสต์ไทยใช้พื้นที่เมืองคุนหมิง เป็นสถานีกระจายเสียงวิทยุ สปท.อีกต่อไป ไม่แน่นักว่าการพูดจา สื่อสาร การปลุกความหวัง พลังใจ ของ พคท. ผ่านสถานีวิทยุแห่งนี้ อาจทำให้ปัญหาความขัดแย้งภายในของพรรคการเมืองใต้ดินพรรคนี้ ไม่ต้องระเบิดออกมาก่อนระยะเวลาอันควร อันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ทางการเมือง ทางอุดมการณ์ อุดมคติ ในเวลาต่อมา...

-----------------------------------------------

และพรรคคอมมิวนิสต์ไทยในระยะนั้น...ก็ดูจะให้ความสำคัญกับ เครื่องมือ ชนิดนี้เอามากๆ ถึงขั้นที่แม้นว่าจะถูกขับไล่ไสส่งออกมาจากเมืองคุนหมิง แถมยังไม่อาจหันไปพึ่งพิงพื้นที่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอื่นๆ ไม่ว่าลาวหรือกัมพูชาก็ตาม แต่ก็ยังพยายามที่จะหาทางจัดตั้งสถานีวิทยุแห่งใหม่ขึ้นมาในพื้นที่ประเทศไทย แบบอุตลุดชุลมุนชุลเก มีทั้งการทดลองนำเอาพลังน้ำมาใช้ปั่นกระแสไฟฟ้าให้กับเครื่องส่งกระจายเสียง มีทั้งความพยายามลำเลียงชิ้นส่วนอุปกรณ์สำคัญๆ เดินเท้าจากตอนใต้ของจีน ข้ามลาว ข้ามแม่น้ำโขง เข้ามาประกอบติดตั้งกันในฝั่งไทยอย่างสุดแสนจะทุลักทุเล...แต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจดำเนินการให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ได้เท่ากับยุคที่ยังสามารถนั่งไขว่ห้าง ปลุกระดมกันอยู่ในแผ่นดินจีนแบบสบายๆ สัญญาณความระส่ำระสาย และความแตกแยกภายในพรรคการเมืองแห่งนี้ ก็จึงค่อยๆ ปรากฏชัดเจนมาตั้งแต่บัดนั้น...

----------------------------------------------------

ส่วนความปั่นป่วน วุ่นวาย ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก็คงปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า...ถ้าหากไม่มี วิทยุยานเกราะ ซะอย่าง อะไรต่อมิอะไรมันคงไม่ถึงกับโหดร้าย เหี้ยมเกรียม อำมหิต ชนิดไม่ว่าใครต่างก็ ลืมไม่ลง จนตราบเท่าทุกวันนี้ ด้วยประสิทธิภาพของระบบการสื่อสาร ที่สามารถทำให้คนไทยด้วยกันแท้ๆ แถมยังเป็นเด็กๆ นักเรียน นักศึกษา หน้าตาล้วนแล้วแต่ออกไปทางเบบี้ ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ต่างต้องกลายไปเป็นญวน เป็นแกว กลายเป็นผู้ส้องสุมอาวุธร้ายแรงเอาไว้ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มุ่งคิดร้ายทำลายชาติอย่างมิอาจให้อภัยได้ การลากเด็กๆ ถูลู่ถูกังออกมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วรุมกระทืบ ตอกอก แขวนคอ ใต้ต้นมะขามสนามหลวง ฯลฯ แล้ว แต่มีเหตุผล แรงจูงใจมาจากประสิทธิภาพของระบบสื่อสาร ซึ่งถูกแพร่กระจายออกมาจากวิทยุแห่งนี้นี่เอง...

-----------------------------------------------------

ด้วยเหตุนี้...การที่สังคมไทยในปัจจุบันได้เกิดระบบการสื่อสารแบบที่เรียกกันว่า วิทยุชุมชน นับเป็นร้อยๆ และหลายต่อหลายสถานี ก็ดูจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเหี้ยมโหด อำมหิต ไม่น้อยไปกว่า วิทยุยานเกราะ ในยุคอดีต หรืออาจจะมากกว่า ไปไกลกว่า ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า มันจึงเป็น ปัญหาใหญ่ และกำลังต้องการ การเร่งบริหารจัดการ อย่างที่ ส.ว. คำนูญ ท่านว่าเอาไว้จริงๆ และไม่เพียงแต่เฉพาะการบริหารจัดการ วิทยุชุมชน เท่านั้น...เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ คุณ อดิศักดิ์ ลิ่มปรุงพัฒนกิจ ก็ได้เขียนบทความชิ้นหนึ่งชื่อว่า โลกไร้เสา-ปี 2556 จุดเปลี่ยนโทรทัศน์ไทย สะท้อนให้เห็นภาพอันชุลมุน วุ่นวาย และน่าตกตะลึงพรึงเพริด ของระบบการสื่อสารที่ไปไกลยิ่งกว่านั้น นั่นก็คือ...การแพร่กระจายของ ทีวีดาวเทียม ซึ่งกำลังใกล้จะมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 ช่องในช่วงระยะอีกไม่ใกล้ไม่ไกล...

------------------------------------------------

จากจำนวนครัวเรือนทั้งหมดประมาณ 20.35 ล้านครัวเรือน ปรากฏว่าระบบ ทีวีดาวเทียม ในปัจจุบันได้ซึมซ่านเข้าไปถึงครัวเรือนไม่น้อยกว่า 6.37 ล้านครัวเรือน หรือประมาณ 31 เปอร์เซ็นต์ของครัวเรือนทั้งหมดไปแล้วในขณะนี้ และภายในปี 2554 หรือแค่ปีหน้าเท่านั้นเอง คาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นไปถึง 50-60 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย ด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกเอามากๆ แค่การซื้อจานรับสัญญาณราคาประมาณ 3,000 บาทมาติดตั้ง นอกจากจะดูทีวีปกติได้ชัดแจ๋วโดยไม่ต้องใช้เสาใดๆ แล้ว ยังสามารถรับชมช่องต่างๆ ได้อีกเป็นร้อยๆ ช่อง ได้ดูเพลงลูกทุ่งและละครน้ำเน่าในแบบตลอด 24 ชั่วโมง ได้ตื่นตาตื่นใจกับอิทธิฤทธิ์ความมหัศจรรย์จาก น้ำมหาบำบัด ของ ป้าเช็ง ได้ค้นพบช่องทางรวยลัด รวยเร็ว จากผลิตภัณฑ์สินค้า ปูแดง ควบคู่ไปกับได้รับความเมามันซ์ซ์ระดับอุจจาระแตกอุจจาระแตน จากการเสียดสี ด่าทอ ข้ามฟ้า ข้ามประเทศโดย ทีวีเสื้อเหลือง ทีวีเสื้อแดง ไปจนถึง ทีวีเสื้อน้ำเงิน หรือ มหาดไทยแชนนัล ฯลฯ ได้อีกต่างหาก....

---------------------------------------------------

ภายใต้สภาพที่ประเทศไทยทั้งประเทศ กำลังเต็มไปด้วยความสับสน ปั่นป่วน วุ่นวาย หาจุดเริ่มต้นสมานฉันท์กันไม่เจอ ความแตกแยกได้ลุกลาม แผ่ซ่าน จนใกล้จะก่อให้เกิดภาพจำลองของประเทศไทยยุคใหม่ ที่ถูกแยกออกไปเป็นส่วนๆ เป็นอาณาจักรล้านนายุคใหม่ อาณาจักรพิมายยุคใหม่ ภายใต้การปกครองของอดีตกษัตริย์ผู้กลับชาติมาเกิดในนาม พระเจ้ามูลเมือง สิ่งเหล่านี้...มันจะไปปล่อยเลยตามเลยคงมิได้ อย่างที่ ส.ว. คำนูญ ท่านสรุปเอาไว้นั่นแหละว่า..."เข้าใจครับว่า...(สิ่งเหล่านี้) เป็นอำนาจหน้าที่ของ กทช. (คณะกรรมการวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ) และรัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดภาพการกระทบกระเทือนสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ แต่อย่าลืมว่า...อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลก็มีหน้าที่ที่จะต้องรักษากฎหมาย ทำให้กฎหมายสามารถบังคับใช้ได้ และรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรตามรัฐธรรมนูญ และตามประมวลกฎหมายอาญาด้วย กทช.มีอนุกรรมการดูแลเรื่องนี้อยู่ รัฐบาลควรขีดเส้นให้ไปหากยังไม่ดำเนินการ รัฐบาลก็ต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเอง โดยอิงประมวลกฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.ความมั่นคง..." ข้อเสนอเช่นนี้จะถูกหรือผิด เหมาะไม่เหมาะ เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้...ก็คงต้องนำไปพิจารณากันต่อไป แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากอยู่เฉยๆ ไม่เห็นว่า เป็นปัญหา หรือไม่คิดว่าเป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไรมากมาย...ก็คงต้อง ตัวใคร-ตัวมัน ก็แล้วกัน...

----------------------------------------------

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก วิกเตอร์ ฮูโก (อีกครั้ง)..."การบุกของกองทัพนั้นต้านทานได้...แต่การบุกของกองทัพความคิดนั้น เมื่อมาถึง...ไม่มีใครสามารถต้านทานได้...".

----------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น: