วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

อีกมุม หนึ่งของ Creative Economy
นงค์นาถ ห่านวิไล
Creative Economy หรือ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ จุดเริ่มต้นมาจากรัฐบาลมีนโยบายผลักดันระบบเศรษฐกิจที่จะสร้างความมั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจประเทศไทย

หรือหมายถึงระบบเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนและอยู่บนพื้นฐานของจุดแข็งของประเทศนั่นเอง ความหมายของคำว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์คือ การนำเอามรดกทางวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตและภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้เป็นทรัพย์สินทางปัญญา และมีการต่อยอดโดยใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงกันจนเป็นระบบเศรษฐกิจ

ในทางการเมือง แม้ว่าจะไม่มีความแน่นอน มีความเป็นไปได้ที่จะยุบสภา นั่นหมายถึงว่าเราอาจมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอีกแล้ว แต่รัฐบาลชุดนี้ก็ได้พยายามสร้างความมั่นใจ โดยผลักดันให้โครงการนี้ไปอยู่ในงบไทยเข้มแข็ง ซึ่งมีกรอบระยะเวลาชัดเจนคือ 3 ปี รวมทั้งมีการบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ซึ่งจะเริ่มในอีก 2 ปีข้างหน้า และแผนมีระยะเวลาทั้งสิ้น 5 ปี นับรวมแล้วเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะดำเนินการต่อเนื่องอย่างน้อยถึง 7 ปี แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอีกก็ตาม ซึ่งระยะเวลา 7 ปีนี้นานเพียงพอที่พื้นฐานในการพัฒนางานต่างๆ น่าจะมีความคืบหน้า

ดร.กฤตินี ณัฎฐวุฒิสิทธิ์ ที่ปรึกษาโครงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เรื่อง โมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทางสถาบันศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบทบาทสำคัญหลายส่วนต่อโครงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ Creative Economy ของรัฐบาล ทั้งที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ ต่อเนื่องไปถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ที่กำลังร่างอยู่

นอกจากนั้น ยังมีโครงการนำทุนทางวัฒนธรรมเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ทำร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) กระทรวงวัฒนธรรม เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยศศินทร์เป็นศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษา คิดกลยุทธ์และแนวทางการปฏิบัติ

จะเห็นได้ว่ามีหลายหน่วยงานพยายามเข้ามามีส่วนเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อย่างกระทรวงวัฒนธรรมก็ตระหนักถึงบทบาทที่จะต้องสามารถดำรงตนในหลายบทบาทนอกจากงานทางด้านการอนุรักษ์ แต่ต้องสร้างมูลค่าเพิ่มและต่อยอดให้ได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของไทย ดูเหมือนจะคลานไปอย่างต้วมเตี้ยม สาเหตุหนึ่งถูกมองว่า เพราะไม่มีเจ้าภาพที่แท้จริง

ดร.กฤตินี มองว่า การไม่มีเจ้าภาพก็เป็นสาเหตุหนึ่งให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยไปได้อย่างช้าๆ แต่เรื่องนี้ก็เป็นอุปสรรคที่เราคุ้นเคยกันดีในการบริหารประเทศในหลายกรณี เมื่อขาดเจ้าภาพที่ชัดเจนจึงขาดการบูรณาการ แต่อะไรก็ตามการที่จะทำได้จริงอย่างฝันหรือไม่นั้น ข้อแรก ต้องเชื่อมันก่อนว่า “ทำได้ ถ้าตั้งใจจะทำ”

จากนั้น ลองพิจารณาดูประเทศที่ประสบความสำเร็จเป็นตัวอย่าง เช่น เกาหลีใต้ ซึ่งเริ่มแรกก็เป็นการกระจายกันทำงานในหลายๆ หน่วยงานคล้ายกับเมืองไทย จนมาถึงปี 2544 มีการตั้งหน่วยงาน Korea Creative Content Agency (KOCCA) เป็นหน่วยงานบูรณาการ รวบรวมงานที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์เข้าไว้ด้วยกัน แล้วหน่วยงานนั้นไม่ได้ขึ้นกับคนที่จะมาเป็นผู้นำเหมือนบ้านเรา ที่ให้ความสำคัญกับชื่อรัฐมนตรี แต่วิสัยทัศน์ขององค์กรต้องชัดเจนและแน่นอน

บทบาทหลักของ KOCCA มีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อยากเป็นผู้ให้บริการเนื้อหาระดับโลก นำวิธีการทำงานแบบสั่งงานจากบนลงล่างเข้ามาใช้ และเกาหลีใต้สามารถวัดผลของวิสัยทัศน์ได้ เช่น ต้องการส่งเสริมมูลค่าตลาดให้ได้ 10 ล้านล้านวอน มูลค่าส่งออก 7,800 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือจ้างงานให้ได้ 1 ล้านตำแหน่ง ซึ่งวิสัยทัศน์ของไทยนั้นมักจะตั้งแบบรวมๆ อย่างไรก็ตามของไทยได้ตั้งเป้าว่าภายในปี 2563 จะทำให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ผลักดันจีดีพีให้ได้ถึง 20% จากปัจจุบันที่ทำได้ 10-11%

KOCCA มีความเข้าใจเรื่องตลาดและมีความเป็นหนึ่งเดียวกันในองค์กร แล้วกำหนดกลยุทธ์ที่ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ แล้วหน่วยงานต่างๆ นำไปปฏิบัติ จะเห็นได้ถึงข้อดีที่ว่า องค์กรเล็กๆ สามารถรวบรวมหน่วยงานมากมายให้มาทำงาน และผลักดันห่วงโซ่อุปทานได้ เช่น ซีรีส์แดจังกึม สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมอาหาร ความรักชาติ และส่งเสริมสิทธิสตรี เป็นต้น

หากเรามองลึกลงไปถึงนิยามที่แท้จริงของคำว่า เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์คือ กิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องและสามารถสร้างมูลค่าทางเศรฐกิจโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์ ถ้าเข้าใจนิยามนี้ตรงกันจะพบว่า เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์จะไม่หยุดนิ่งด้วยปัจจัยลบต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจและการเมือง ประเทศไทยก็ทำแบบเกาหลีใต้ได้ เพราะเรามีทุนทางวัฒนธรรมมากกว่า ขออย่างเดียว ขอให้นักการเมืองเห็นประโยชน์ที่จะเกิดกับส่วนรวม


ไม่มีความคิดเห็น: