วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553


ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ จิตสำนึกใหม่ เปลี่ยนประเทศไทยให้น่าอยู่


วทีประชุมเครือข่ายปฏิรูปประเทศไทยที่มีอาจารย์หมอประเวศ วะสี เป็นประธานเพื่อระดมสมองของผู้ทรงคุณวุฒิในทุกฝ่าย และผู้ชำนาญการในด้านต่างๆ เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้น่าอยู่ที่สุดในโลก เมื่อวันอังคารที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา นับว่าได้รับความสนใจจาก คนนอกมากเป็นกรณีพิเศษ ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังหาข้อยุติไม่ได้เกี่ยวกับ กีฬาสี นอกสถานที่ และคงเป็นวาระการนำเสนอหัวข้อ การปฏิรูปประเทศไทยในบริบทการสร้างจิตสำนึกใหม่ ก็เป็นอีกตัวแปรดึงดูดให้หลายๆ คนอยากรู้และอยากเห็นว่า มันจะสอดคล้องทันการณ์กับการแก้ไขภาวะวิกฤตในบ้านเราขณะนี้หรือไม่อย่างไร

แต่น่าจะผิดหวังไปตามๆ กัน สำหรับผู้ที่จ้องจะหาคำตอบเพื่อไปแก้โจทย์ปัญหา...


อะไร?!?คือทางออกที่ดีที่สุดในการนำพาประเทศชาติหลุดพ้นวังวนอุบาทว์ทางการเมือง

เพราะเวทีนี้ดูเหมือนว่าจะดำเนินไปตามทิศทางและแนวทางที่ประธานเครือข่ายทางปัญญาเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้น่าอยู่ที่สุดในโลก คือ อาจารย์หมอประเวศ ได้ตอกย้ำเสมอว่า ไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่ตำหนิใคร ไม่แบ่งสีแบ่งพวก แต่เป็นเวทีของการสร้างสรรค์ ที่ต้องมีความต่อเนื่อง มีความอดทน และเพียรพยายามในการขับเคลื่อน จึงต้องอาศัยระยะเวลา และกระตุ้นความเข้าใจ เพื่อการสร้างองค์ความรู้ที่ถูกต้อง ที่สำคัญคือจิรังยั่งยืน

แนวทางการสร้างจิตสำนึกใหม่ ที่มี ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คนใหม่รับหน้าที่ใหม่สดๆ ร้อนๆ เป็นผู้นำเสนอนั้น นอกจากไม่ปรากฏเรื่องราว เนื้อหาสาระเฉียด ไปวิเคราะห์วิจารณ์จิตสำนึกคนไทยภายใต้สถานการณ์ความร้อนแรงทางการเมืองแล้ว ยังไม่ตกหลุมลับ-ลวง-พราง ใดๆ ที่บางคนพยายามตีความโยงไปให้เกี่ยวข้องอีกต่างหาก

ผมว่าเป็นภาพสะท้อนที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะการให้ความสนใจต่อเวทีประชุมเครือข่ายปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งมีนัยสำคัญกับเหตุการณ์บ้านเมือง สามารถตีความได้ว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังมีจิตสำนึกร่วม ห่วง อนาคตและความเป็นไปของประเทศไทย แต่หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่า จะทำอย่างไรให้ปัญหาทั้งหลายคลี่คลาย บรรเทา

ภาพที่เห็น เรื่องที่ปรากฏ สรุปได้ว่า สอดคล้องกับการศึกษาประมวลข้อมูลของคุณหมอกฤษดา ที่เป็นผู้ทำการบ้านเกี่ยวกับการสร้างจิตสำนึกใหม่เพื่อทำประเทศไทยให้น่าอยู่ เพราะคุณหมอเองก็บอกว่า จากการศึกษาเรื่องจิตสำนึกใหม่เป็นระยะหนึ่ง นานพอประมาณ พบว่า การเปลี่ยนจิตสำนึกของคนไทยนั้น เพียงลำพังเครื่องมือที่เรียกว่า การสื่อสาร สามารถช่วยสร้างความตระหนักรู้ และกระตุ้นให้รับรู้และเข้าใจเท่านั้น แต่ไม่ประสบผลในด้านการปฏิบัติหรือลงมือเพื่อให้การสร้างจิตสำนึกใหม่ประสบความสำเร็จ

แปลไทยเป็นไทย ขยายความได้ว่า คนไทยตระหนัก รับรู้ เข้าใจแล้วว่า การมีจิตสำนึกร่วมเพื่อส่วนรวม จึงจะนำพาประเทศชาติให้อยู่รอดปลอดภัย แต่สังคมไทยก็ยังมิได้ลงมือกระทำการใดๆให้บรรลุเป้าหมาย

ลำพังแค่การสื่อสารไม่ได้ช่วยให้การเกิดจิตสำนึกใหม่ได้ขับเคลื่อนต่อไปในภาคปฏิบัติ

คุณหมอกฤษดา จึงนำเสนอว่า หากต้องการเปลี่ยนประเทศไทย ผ่านแนวทางการมีจิตสำนึกใหม่ล่ะก็ องค์ประกอบที่สอง คือ ปฏิบัติการทางสังคม คือการให้คนในสังคมมีส่วนร่วมนั้นจะต้องเดินไปด้วยกัน ขาดขาข้างหนึ่งข้างใดไม่ได้ มิเช่นนั้น มีจิตสำนึกแต่ไม่ปฏิบัติ ก็เท่ากับทำงานด้วยปากนั่นเอง

ปฏิบัติการทางสังคมภาษาสวยหรูมากเลยใช่ไหมครับแต่นอกจากฟังดูรื่นหูแล้ว ขอบอกว่า มันเป็นหัวใจของการสร้างจิตสำนึกใหม่นะครับ เพราะถ้าเราคิดว่า คนไทยควรจะมีจิตสำนึกใหม่ ในการพึ่งพาตนเอง แต่เอาเข้าจริงในภาคการปฏิบัติ เราก็พร้อมออกไปเรียกร้องให้รัฐยื่นมือเข้ามาอุ้มทุกครั้งเมื่อมีใครมาชักจูง คำว่าจิตสำนึกใหม่ ก็ไร้ประโยชน์เฉกเช่นเดียวกับการระบุว่า การประหยัด รู้จักคุณค่าของพลังงานทดแทนเป็นจิตสำนึกใหม่ที่จะพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคงที่เกรียงไกร แต่คนในประเทศยังคงใช้จ่ายทรัพยากรน้ำมันอย่างสุรุ่ยสุร่าย โดยไม่บันยะบันยังทุกครั้งเมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง หรือเมื่อเห็นว่ารัฐมาช่วยแบกภาระค่าน้ำค่าไฟ จิตสำนึกใหม่ก็ไม่พ้นจิตสำนึกหัวหลักหัวตอเมื่อเรายอมรับว่า ประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลง เมื่อคนไทยมีจิตสำนึกร่วมว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงไม่ว่าเพื่อเพิ่มดัชนีแห่งความสุข หรือเพื่อเพิ่มดัชนีตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตลอด แม้กระทั่งเพื่ออนาคตการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยก็ตาม

เพียงแค่คิดแต่ไม่ลงมือทำ คงไม่พออีกต่อไปแล้ว

ทีมงานสสส. ซึ่งรับผิดชอบหัวข้อในการสร้างจิตสำนึกใหม่จึงนำเสนอว่า การสร้างหรือเปลี่ยนจิตสำนึกคนนั้น สมควรต้องมีความฝันร่วมกันก่อนว่า อยากจะทำอะไร จากนั้นสื่อสารออกไปให้ชุมชนหรือองค์กรได้รับรู้ สื่อสารให้เข้าใจ ให้ตระหนักถึงความจำเป็น เสร็จแล้วก็ลงมือปฏิบัติการ

ว่าไปแล้ว โจทย์ปัญหาการปฏิบัติทางสังคมนั้น จะว่ายากก็ไม่ง่าย จะว่าง่ายก็ไม่ยากนะครับ เพราะสังคมไทยทุกวันนี้ มีชุมชน องค์กร สถาบันมากมายเลยทีเดียวที่ทำงานในเชิงสร้างสรรค์สังคมที่ยั่งยืนอยู่ เพียงแต่จะแตกต่างกันในด้านรูปแบบเท่านั้น

อย่างที่ผมได้มีโอกาสไปดูการปฏิบัติการทางสังคมของวัดคำประมง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ที่หลวงตาพระปพนพัชร์ (พัลลภ) ได้ก่อตั้งอโรคยศาลขึ้นเพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งในระยะสุดท้ายของชีวิต ก็พบว่า คนไทยส่วนหนึ่งมีจิตสำนึกอาสาต่อเพื่อนมนุษย์อย่างน่ายกย่อง พร้อมๆ กับจิตสำนึกใหม่ที่เชื่อว่า สิทธิในการเลือกหนทางตายหรือนาทีสุดท้ายของชีวิตเป็นสิทธิที่พึงกระทำ ไม่แตกต่างจากการเรียกร้องสิทธิประชาธิปไตยแต่อย่างใด

ขอเพียงแต่มีต้นแบบที่จะขับเคลื่อนการสร้างจิตสำนึกใหม่เท่านั้น สังคมไทยก็น่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีและที่พึงปรารถนาได้

ผมเองก็จะเฝ้ารอดูว่า ฝันของคุณหมอกฤษดาที่จะสร้างจิตสำนึกใหม่ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ที่สุดในโลก ในระยะเวลา 4 ปี ให้มี 100 เมืองน่าอยู่ ให้มี 1หมื่นองค์กร และ 1 ล้านคนที่ไม่เพียงตระหนักรู้ แต่ต้องลงมือกระทำนั้น จะเป็นจริงหรือไม่

การเฝ้าดูไม่ใช่จับผิดนะครับ แต่ด้วยแรงใจและอยากให้กำลังใจ เพราะผมก็อยากเห็นประเทศไทยน่าอยู่ที่สุดในโลกเหมือนกันครับ

นายใฝ่ฝัน ปฏิรูป

ไม่มีความคิดเห็น: