วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

"ต่อยอด"คดียึดทรัพย์ หน้าที่ต้องทำของรัฐบาล


คดีประวัติศาสตร์ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้ "ยึด" ทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 46,373 ล้านบาทเศษ ที่มาจากการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป ให้กับกลุ่มเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ พร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดิน นอกจากเป็นนัยสำคัญที่พิสูจน์ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กระทำผิดในการใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์เอื้อต่อตนเองและครอบครัวแล้ว ยังสามารถเป็นหลักฐานสำคัญชิ้นใหญ่ที่รัฐบาลจะหยิบยกนำไปดำเนินการฟ้องร้องกล่าวโทษในคดีแพ่งและคดีอาญาต่อผู้ต้องหาและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ อีก ทั้งนี้ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป

จากรายงานความเคลื่อนไหวหลังฟังคำวินิจฉัยคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทเศษ ดูเหมือนว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมที่จะขับเคลื่อนวาระการฟ้องร้องกล่าวโทษอดีตนายกฯ ทักษิณในคดีที่คั่งค้างอื่นๆ อีกหลายคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ถือเป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลยื่นมือเข้าไปแทรกแซงหรือสั่งการให้เร่งรัดกระทำใดๆ ไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ต้องเป็นและต้องทำภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐบาลที่เป็นตัวแทนแบกรับความเสียหายจากกรณีนี้คือ การเดินหน้าทั้งคดีแพ่งและอาญาต่อนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร

บัดนี้...คำวินิจฉัยชี้ขาด 5 ประเด็นความผิดของอดีตผู้นำประเทศเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและนายกรัฐมนตรี เป็นเสมือนใบเสร็จที่ลงนามและประทับตราโดยศาลฎีกาแล้ว ฉะนั้น รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการนำฐานความเสียหายดังกล่าวที่ประกาศต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไปต่อยอดหรือขับเคลื่อนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายในคดีดังกล่าวจัดการดำเนินคดีตามครรลองของกฎหมาย และตามลำดับความสำคัญในการเรียกร้องค่าเสียหาย รวมทั้งจัดการกับผู้บริหารในอดีตที่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการคอรัปชั่นเชิงนโยบายด้วย

ทั้งกรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต และกรณีการปล่อยเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ให้กับพม่า ซึ่งสร้างมูลค่าความเสียหายให้กับรัฐกว่า 6 หมื่นล้านบาท เป็นประเด็นที่รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีและสื่อสารสนเทศ ตลอดจนกระทรวงการคลัง นิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะถือเป็นหน่วยงานผู้เสียหายและได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนั้น สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะทนายของแผ่นดิน ก็นิ่งเฉยรอคอยให้หน่วยงานต่างๆ ยื่นเรื่องเข้าไปหารือก่อนจึงจะลงมือกระทำใดๆ นั้น นับว่าไม่ถูกต้อง อย่างน้อยที่สุดต้องไม่ลืมว่าทนายจะต้องเป็นผู้ให้คำแนะนำต่อลูกความ

ในฐานะทนายที่ดี อัยการย่อมประจักษ์แจ้งแก่สายตาว่า การต่อยอดคดียึดทรัพย์ในครั้งนี้จะต้องเริ่มต้นจากการเร่งรัดจัดการขอให้มีคำสั่งศาลแพ่งยึดทรัพย์ทั้งหมดที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เคยดำเนินการไว้ก่อนหน้านี้จำนวน 7.6 หมื่นล้านบาทเศษ ไว้ก่อนอีกวาระหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่า ผู้ถูกกล่าวหาคืออดีตนายกฯ ทักษิณ พำนักอยู่ในต่างประเทศ และมีพฤติกรรมที่ควรเชื่อได้ว่าอาจจะหนี รัฐจึงต้องขอให้ยึดทรัพย์สินไว้ชั่วคราว จนกว่าจะดำเนินการชดใช้เงินต่อหน่วยงานต่างๆ ของรัฐที่เสียหายจากการกระทำอันมิชอบ

ข้อกล่าวอ้างว่า "คนล้มไม่ควรข้าม" หรือความเกรงใจทางการเมืองว่า รัฐบาลจะถูกกล่าวหาว่ารังแกอดีตนายกฯ นั้น ขอยืนยันว่า เป็นเหตุผลที่ยอมรับไม่ได้ และฟังไม่ขึ้น หากพิจารณาด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงว่า รัฐบาลมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำการฉ้อราษฎร์บังหลวง รัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังกับกลุ่มบุคคลที่ใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติและประชาชน ดังนั้น วันนี้ผู้พิพากษาศาลสูงสุดได้พิสูจน์ข้อกล่าวหาทั้งหลายของ คตส.และ ป.ป.ช.ว่าทักษิณ ชินวัตร กระทำความผิด ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐแล้ว รัฐบาลยังจะหน่อมแน้มเล่นเกมการเมืองเหมือนเด็กอมมือ โดยไม่สนใจความถูกต้อง แล้วจะให้ประชาชนมั่นใจได้อย่างไรกับตรรกะที่ว่า...ทำดีได้ดี ทำชั่วต้องชดใช้กันเล่า.

ไม่มีความคิดเห็น: